นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 722

สรุปบท บทที่ 722 ข้าจะเป็นเขาผู้นั้นตลอดไป: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 722 ข้าจะเป็นเขาผู้นั้นตลอดไป – ตอนที่ต้องอ่านของ นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ตอนนี้ของ นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายInternetทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 722 ข้าจะเป็นเขาผู้นั้นตลอดไป จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท......”

“ฝ่าบาท อันตราย อันตราย......”

“ปกป้องฝ่าบาท ปกป้องฝ่าบาท”

นิสัยเอาแต่ใจของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้ขบวนขนาดใหญ่ต้องโกลาหล เหล่าทหารต่างพากันวุ่นวาย เหล่าองครักษ์รวมตัวกันเป็นวงกลม เข้าใกล้ตัวของหนานหลิงจิ่นสิงอย่างเงียบๆ ต้องการคุ้มกันหนานหลิงจิ่นสิงโดยมีเขาอยู่ตรงกลาง

“หลีกไป!” หนานหลิงจิ่นสิงตะโกนออกมา องครักษ์ผงะไปครู่หนึ่ง หนานหลิงจิ่นสิงพุ่งออกมาโดยตรง ภายใต้ความวุ่นวายนี้ เฟิ่งชิงเฉินเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และการเคลื่อนไหวนี้ยังดึงดูดความสนใจของหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยที่ยืนมองดูความวุ่นวายนี้อยู่ตรงมุมไกลๆ

“หากรู้ว่าเขาใจร้อนถึงขนาดนี้ ข้าน่าจะเตรียมมือสังหารไว้ ไม่แน่อาจจะสำเร็จก็ได้ ต่อให้ไม่สำเร็จก็ถือเป็นบทเรียนอันเล็กน้อยสำหรับเขา” หนานหลิงจิ่นฝานกล่าวด้วยความดูถูก

ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่คิดเช่นนั้น เขาเฉยเมย เยาะเย้ยกึ่งล้อเล่น “เกรงว่าจักรพรรดิตงหลิงคงไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่”

การที่หนานหลิงจิ่นสิงเสด็จมาในครั้งนี้ มันไม่ใช่บทเรียนที่จักรพรรดิตงหลิงต้องการมอบให้หรอกหรือ นี่คือการแจ้งเตือนของจักรพรรดิตงหลิงที่ต้องการบอกพวกเขาว่าอย่างเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ให้มันรู้เสียบ้างว่านี่เป็นอาณาเขตของใคร

“ข้าจะต้องกังวลอะไร ตอนนี้จักรพรรดิตงหลิงกำลังสนใจเรื่องงานแต่งของชุนอ๋องอยู่” หนานหลิงจิ่นฝานแสดงออกถึงความไม่ยอมแพ้และโต้เถียงกลับไป

องค์หญิงเหยาหวากำลังตั้งครรภ์ เรื่องการแต่งงานอย่างกะทันหันไม่ใช่ความลับสำหรับพวกเขา หากยังไม่รีบจัดงานแต่งงาน ท้องขององค์หญิงเหยาหวาคงรั้งไว้ไม่ไหว

“ฮึ” เมื่อเทียบในเรื่องปากร้าย ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานหลิงจิ่นฝาน ไม่แปลกใจ ซีหลิงเทียนเหล่ยพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์

แต่คำพูดของหนานหลิงจิ่นฝานก็เป็นการย้ำเตือนเขา จักรพรรดิตงหลิงกำลังสนใจเด็กในท้องเหยาหวาที่เป็นลูกของชุนอ๋องอยู่ไม่ใช่หรือไง มันเป็นแค่การใช้งานเหยาหวาตามอำเภอใจ หาก......

หากไม่มีเด็กคนนั้นเล่า?

ดวงตาของซีหลิงเทียนเหล่มองต่ำลงบนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน ความชั่วร้ายเผยให้เห็นในแววตาของเขา

หากเหยาหวาแท้งเด็กในท้อง คนร้ายที่คู่ควรที่สุดก็เฟิ่งชิงเฉิน เขาต้องหาวิธีทำให้เหยาหวาเจอเฟิ่งชิงเฉิน แบบนั้นการที่เหยาหวาแท้งเด็กในท้องถึงมีความหมาย

ซีหลิงเทียนเหล่ยมีแผนในใจ ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว “องค์รัชทายาทจิ่นฝาน ข้าไม่มีความสนใจจะดูความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพี่น้องอย่างพวกเขา ข้าขอตัวก่อน”

ใช่ เฟิ่งชิงเฉินและหนานหลิงจิ่นสิงในตอนนี้ พวกเขากำลังแสดงฉากของพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง

หนานหลิงจิ่นสิงไม่สนใจว่าเหล่าองครักษ์จะเข้ามาขัดขวางอย่างไร เขาขี่ม้าออกมาจากขบวน และในตอนที่ม้ากำลังพุ่งมาด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน “ฮี้......” ห่างจากเฟิ่งชิงเฉินประมาณสิบก้าว หนานหลิงจิ่นสิงหยุดม้ากลางอากาศ ไม่ทันรอให้ม้ายืนอย่างมั่นคง เขากระโดดลงมาทันที

ท่าทางหล่อเหล่าเป็นอย่างมาก แต่คนที่ขี่ม้าด้วยกันจะรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวนี้มันอันตรายเพียงใด

การเคลื่อนไหวของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกใจตั้งแต่แรกเริ่ม ในตอนที่ม้ากำลังพุ่งมาทางนาง นางรีบลุกขึ้นยืน ในตอนที่ม้าหยุดกลางอากาศ เฟิ่งชิงเฉินก็ถอยหลังกลับไปหลายก้าว

แม้จะเสียมารยาทไม่ได้ แต่ชีวิตของนางสำคัญกว่า ส่วนเจ้าหนานหลิงจิ่นสิงผู้นี้เขาบ้าไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินยอมรับ การเคลื่อนไหวที่ไม่สมเหตุสมผลของหนานหลิงจิ่นสิงทำให้นางลืมความหงุดหงิดและความรู้สึกไม่สบายในการพบกับหนานหลิงจิ่นสิง

“พี่สาว......” หนานหลิงจิ่นสิงลงจากม้าก็รีบเดินเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน เขาสวมชุดผ้าทออันสง่างามทำให้รู้สึกแปลกไป แต่เมื่อเอ่ยปากออกมา ความรู้สึกของเฟิ่งชิงเฉินนั้นผิดไปโดยสิ้นเชิง ผู้ที่อยู่ด้านหน้าของนางยังคงเป็นโจวสิง

เมื่อเงยหน้าไปเห็นรอยยิ้มที่คุ้นเคยของหนานหลิงจิ่นสิง เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว”

ฮ่าฮ่าฮ่า......หนานหลิงจิ่นสิงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เรื่องนี้ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัว ต้องรู้ก่อนว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เคยยิ้มเช่นนี้ให้เห็นมาก่อน องค์รัชทายาทที่พวกเขารู้จักเวลายิ้มจะยิ้มออกมาเพียงแค่มุมปาก และขยับใบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“พี่สาว พี่วางใจ ข้าไม่มีทางเป็นอะไรอยู่แล้ว ขอโทษที่ทำให้พี่ต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ไปกันเถอะ พวกเราเดินเข้าไปด้านในกัน” ใช้ชีวิตในพระราชวังมามากกว่าครึ่งปี หนานหลิงจิ่นสิงได้เรียนรู้การแสดงออกทางสีหน้าจนเข้าใจ

สังเกตการแสดงออกทางสีหน้าไม่ใช่แค่ผู้เป็นบ่าวเท่านั้นถึงต้องศึกษาทำความเข้าใจ แต่ผู้สูงศักดิ์อย่างองค์รัชทายาทเองก็ต้องเล่าเรียนเช่นกัน เห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน หนานหลิงจิ่นสิงก็รู้ทันทีว่าเฟิ่งชิงเฉินลืมเรื่องที่ตนเองเป็นองค์รัชทายาทแห่งหนานหลิงไปชั่วขณะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นโจวสิงเหมือนที่ผ่านมา แน่นอนว่าตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อน เขาไม่พลาดโอกาสนี้แน่นอน

หนานหลิงจิ่นสิงโบกมือ สั่งให้เหล่าองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก ไม่อนุญาตให้เข้าไปด้านใน

ทุกคนต่างเห็นการกระทำของหนานหลิงจิ่นสิง แม้พวกเขาจะรู้ว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำที่ผิดมารยาท แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ยืนเงียบอยู่ด้านนอก เหล่าองครักษ์รีบกระจายตัวทำการคุ้มกันอย่างหนาแน่นรอบจวนเฟิ่ง

การกระทำนี้......มีหรือเฟิ่งชิงเฉินจะไม่รู้ แต่เป็นเพราะหนานหลิงจิ่นสิงต้องการแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิด นางจึงให้ความร่วมมือ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหนานหลิงจิ่นสิงกับนางก็มีความสัมพันธ์กัน นางเป็นคนส่งเขาออกไป ตามหลักการช่วยเหลือ เมื่อช่วยเหลือญาติไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล แน่นอนว่านางต้องให้ความร่วมมือกับหนานหลิงจิ่นสิง ให้คนนอกเห็นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขาลึกซึ้ง ทำให้เห็นว่าการร่วมมือกันของเสด็จอาเก้าและหนานหลิงจิ่นสิงไม่มีวันแตกหัก

การมาครั้งนี้หาความคิดทางการเมือง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกแปลกไม่น้อยเมื่อเดินเข้าไปในจวนเฟิ่งพร้อมกับหนานหลิงจิ่นสิง

ด้วยความเข้าใจที่หนานหลิงจิ่นสิงมีต่อเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้ว่าหากเขาเสียชีวิตลงในหนานหลิง เฟิ่งชิงเฉินจะต้องล้างแค้นให้เขาอย่างแน่นอน เนื่องจาก......เฟิ่งชิงเฉินมีนิสัยเมื่อปกป้องใครแล้ว นางจะปกป้องจนชีวิตจะหาไม่

ทั้งสองคุยกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ความรู้แปลกที่สัมผัสได้ในตอนแรกหายไป ความกังวลและหวาดวิตกในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็หายไปเช่นกัน หนานหลิงจิ่นสิงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกรธเขา จึงขอเขาไปสักการะพ่อแม่ตระกูลเฟิ่ง

เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ คนที่มีความรู้สึกต่างรู้ดีและหนานหลิงจิ่นสิงก็เป็นคนประเภทนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ พาเขาไปด้านหน้าด้วยตัวเอง หนานหลิงจิ่นสิงไม่ได้แค่โค้งคำนับลง แต่เขาคุกเข่าลงด้วยความจริงใจ

มีจูอวี้ของเสด็จอาเก้าอยู่ตรงหน้า การแสดงออกของหนานหลิงจิ่นสิงจึงไม่ได้ดูน่าตกใจอะไร แต่ยังไงเฟิ่งชิงเฉินก็ยังรู้สึกซาบซึ้ง การแสดงออกของหนานหลิงจิ่นสิงแสดงถึงความเคารพที่เขามีแต่พอแม่ของนาง

ออกมาจากห้องไว้ทุกข์ ทั้งสองคนไม่ได้กลับไปห้องโถงใหญ่ แต่เดินไปรอบจวนเฟิ่งตามอําเภอใจ มองดูทิวทัศน์โดยรอบรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยและความแปลกตา หนานหลิงจิ่นสิงกล่าวอย่างเศร้าใจ “เป็นอย่างที่คิด จากไปนานเหลือเกิน มีสถานที่มากมายที่ข้าจำไม่ได้แล้ว”

“มันเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เจ้าไม่เคยเห็นก็ไม่แปลก” เฟิ่งชิงเฉินมองทิวทัศน์ของจวนเฟิ่งอย่างเงียบสงบ และพบว่า “สถานที่บางแห่งนางเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน”

ซูเหวินชิงทำอย่างสุดความสามารถจริงๆ สถานที่เดียวกันและกลับทำให้เกิดทิวทัศน์ถึงสองฤดู ช่วงนี้นางงานยุ่งมาก ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน และไม่มีเวลาชื่นชมทิวทัศน์

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นพี่ก็ช่วยพาข้าเดินชมทิวทัศน์ของจวนเฟิ่ง หากคนอื่นรู้ว่าพวกเราหลงทางในบ้านของตัวเอง แบบนั้นคงเป็นเรื่องน่าขันน่าดู” ในตอนที่พูดออกมา ใบหน้าของหนานหลิงจิ่นสิงเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแห่งความคิดถึง ใบหน้านั้น......

เฟิ่งชิงเฉินแยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ

นี่คือจวนเฟิ่ง ไม่ใช่บ้านของหนานหลิงจิ่นสิง!

หนานหลิงจิ่นสิงเดินเล่นอยู่ในจวนเฟิ่งด้วยความเพลิดเพลิน จนกระทั่งฟ้ามืดลง เสนาธิการทหารเดินเข้ามาแจ้งเตือน “ฝ่าบาท หากยังไม่เสด็จไปยังพระราชวังจะไม่ทันงานเลี้ยงเอานะขอรับ”

“เรื่องมาก” หนานหลิงจิ่นสิงมองเสนาธิการทหารด้วยสายตาอันเย็นชา เสนาธิการทหารเหงื่อตก แต่เขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับ

เขาเองก็ไม่อยากเรื่องมาก แต่......เวลาไม่เคยคอยใคร

“รีบไปเถิด หากไปสายจักรพรรดิอาจไม่พอใจ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมา ตอนนั้นหนานหลิงจิ่นสิงถึงยินยอมที่จะจากไป เฟิ่งชิงเฉินยืนส่งจนมองไม่เห็นเงาร่างของหนานหลิงจิ่นสิง ยืนอยู่นานโดยไม่เคลื่อนไหว

เป็นเพราะความต้องการของนางสูงไปหรือแต่ละคนล้วนมีสิ่งผูกมัดตนเอง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเสมอว่าหนานหลิงจิ่นสิงต้องการขจัดช่องว่างระหว่างพวกเขา แต่ต้องการทำให้ช่องว่างนั้นแคบลง

อาจจะเป็นเพราะนางอ่อนไหวเกินไป หนานหลิงจิ่นสิงในตอนนี้ไม่ใช่โจวสิงที่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังจึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้เหมือนในตอนนั้น เขาเป็นองค์รัชทายาท การกระทำของเขาจึงดูสบายมากกว่าแต่ก่อน......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ