นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 726

จะเข้าไปช่วยพยุงหรือไม่?

นี่เป็นคำถามที่ไม่ต้องคิด เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความคิดที่จะเข้าไปช่วยพยุงองค์หญิงเหยาหวาอยู่ในหัวเลย หากจะเข้าไปช่วยพยุงนางคงเข้าไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว นางจะมาอยู่ตรงนี้ทำไม

เห็นใบหน้าอันซีดขาวและความอ่อนแอจากโรคขององค์หญิงเหยาหวา เฟิ่งชิงเฉินแน่ใจเป็นอย่างมากว่าร่างกายขององค์หญิงเหยาหวาจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่ไม่สามารถเข้าไปพยุงได้เท่านั้น แต่ยังต้องตีตัวออกหาก

การกระทำของเหยาหวาเป็นการเข้ามาสร้างสถานการณ์อย่างจงใจ ประกอบกับการข่มขู่ ร่างกายไม่แข็งแรงก็คิดจะมาถ่วงนาง ฝันไปเถอะ คิดว่านางเฟิ่งชิงเฉินถูกรังแกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ต่อให้นางน่ารังแก อย่างน้อยองค์หญิงเหยาหวาก็ต้องเลือกวันเวลา จะมาสร้างปัญหาให้กับนางวันไหนก็ไม่ว่า แต่กลับมาเลือกวันนี้ นี่กำลังจงใจทำให้นางโกรธอยู่ใช่ไหม

เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันด้วยอารมณ์ แววตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ

วันนี้องค์หญิงเหยาหวาคิดจะมาเพื่อถ่วงเวลาของนางใช่ไหม?

ได้ ใครจะไปกลัว!

เฟิ่งชิงเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมด้วยความเยือกเย็น ไม่ได้ก้าวไปด้านหน้า ทั้งสองคนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น

พวกเขาสามารถรอต่อไปได้ แต่......เวลาไม่เคยคอยใคร เวลาฝังศพนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว หากถ่วงเวลาต่อไปอาจจะพลาดเวลาฝังศพ

“ท่านอาจารย์ จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องออกจากเมือง หากไม่ออกจากเมืองตอนนี้เกรงว่าคงไม่ทัน” ซุนซือสิงก้าวมาด้านหน้า พูดเตือนด้วยเสียงอันเบา

ต่อให้ไม่ออกไปนอกเมือง แต่พวกเขาที่มีจำนวนคนมากมายขนาดนี้ก็ไม่สามารถมาขวางอยู่ตรงหน้าประตูเมืองได้ เมื่อผ่านไปนานตี๋ตงหมิงเองก็รับภาระไว้ไม่ไหว ตี๋ตงหมิงเองก็มีศัตรู มีคนมากมายที่กำลังจับจ้องตำแหน่งของตี๋ตงหมิงอยู่

“ข้าเองก็อยากไป แต่น่าเสียดายที่องค์หญิงเหยาหวาไม่เห็นด้วย”

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะไม่ยกโทษให้ข้าจริงๆอย่างนั้นหรือ?” องค์หญิงเหยาหวาสะอึกสะอื้น ราวกับขาดอากาศหายใจ

ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเผยให้เห็นความรังเกียจ ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ แบบนั้นก็คงต้องใช้ไม้อ่อน

เฟิ่งชิงเฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หันกลับไปทางด้านเหยาหวา เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เก็บความชั่วร้ายที่ปล่อยออกมาจากร่างกาย ใบหน้าเบื่อหน่าย ถูกซ่อนไว้ด้วยความโกรธ

“องค์หญิงเหยาหวา พื้นดินมันหนาว เจ้ารีบลุกขึ้นมาเถิด เจ้าเป็นถึงองค์หญิงแห่งซีหลิง พระชายาชุนอ๋องในอนาคต สถานะของเจ้าสูงส่ง พ่อแม่ของข้ารับความประสงค์ของเจ้าไว้ไม่ไหว องค์หญิงเหยาหวา พวกเรามาพูดคุยกันดีๆเถิด เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นคนบ้า ร้องไห้เพื่อร้องขอความเห็นใจเช่นนี้เลย ทำเหมือนว่าข้ากำลังรังแกเจ้า

องค์หญิงเหยาหวา เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งซีหลิงผู้สูงศักดิ์จนไม่มีใครเทียบได้ ชิงเฉินเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้พ่อแม่ ต่อให้ข้าขอร้องเจ้า เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่? ต่อให้เจ้าไม่อยากปล่อยข้าไป แต่ช่วยปล่อยพ่อแม่ของข้าไปได้หรือไม่ อย่าทำให้พิธีฝังศพพ่อแม่ของข้าต้องเกิดความล่าช้าเลย ข้าขอคุกเข่าขอร้องเจ้า เจ้าจะยอมหรือไม่?”

ตุบ......เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าลง อยู่ห่างจากองค์หญิงเหยาหวาประมาณหนึ่งช่วงแขน

แสร้งทำเป็นน่าสงสาร แสร้งทำเป็นอ่อนแอ? เจ้าทำได้ข้าเองก็ทำได้ เจ้าคุกเข่าพ่อแม่ของข้าไม่มีความสุข ข้าคุกเข่าพ่อแม่ของข้ายอมรับมันอย่างเต็มใจ

แววตาแห่งความท้าทายของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ใบหน้าขององค์หญิงเหยาหวาน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ร่างกายของนางสั่นสะท้านราวกับจะล้มลงในวินาทีถัดไป

งดงามมาก!

ซีหลิงเทียนอวี่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างแอบชื่นชมอยู่ในใจ

หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม เขาคงตะโกนแสดงความชื่นชมออกไปแล้ว

การโจมตีนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน เข้าเป้าขององค์หญิงเหยาหวาโดยตรง

องค์หญิงผู้สง่างามเล่าเรียนการแสร้งทำตัวน่าสงสาร พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เฟิ่งชิงเฉินต่างออกไป นางไม่เสแสร้งนางก็น่าสงสารอยู่แล้ว ประกอบกับงานฝังศพพ่อแม่ของนางในวันนี้ ทำให้วันนี้เฟิ่งชิงเฉินสามารถใช้ความน่าสงสารให้เป็นประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

ซีหลิงเทียนอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ดูจากสถานการณ์เขาคงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉินแล้ว แม้เฟิ่งชิงเฉินจะโกรธเศร้าเพียงใดก็ไม่มีทางทำตามแผนของเหยาหวา เหยาหวาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาประเมินเหยาหวาสูงเกินไป

ผู้หญิงทั้งสองนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอันหนาวเย็น แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจ นางจะอ่อนแอกว่าเหยาหวา ผู้ซึ่งที่เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่าร่างกายไม่แข็งแรงได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าอยู่แบบนั้น เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าตนเองจะไม่ยอมแพ้

ใบหน้าขององค์หญิงเหยาหวาซีดขาวราวหิมะ กัดฟันและหันมามองเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตานั้น......นางเกลียดจนอยากจะกลืนกินเฟิ่งชิงเฉิน มันมีร่องรอยของการขอคืนดีเสียที่ไหน เฟิ่งชิงเฉินเองก็พ่นลมหายใจออกมาโดยไม่พูดอะไร และคุกเข่าอยู่เช่นนั้น

องค์หญิงเหยาหวามั่นใจมากกว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าล่าช้าเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลาฝังศพพ่อแม่ของนาง เช่นเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินเองก็มั่นใจว่าร่างกายขององค์หญิงเหยาหวาจะทนไม่ไหว ในฐานะที่ตนเองเป็นหมอคนหนึ่ง หากเรื่องแค่นี้นางยังมองไม่ออก แบบนั้นชีวิตของนางคงไร้ความหมาย

ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่เช่นนั้น องค์หญิงเหยาหวายืนหยัดอยู่ด้วยเจตจำนงของนาง มีเลือดไหลออกมาจากร่างกายของนาง ดวงตาอันเฉียบแหลมของเฟิ่งชิงเฉินสามารถมองเห็นมันได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นขององค์หญิงเหยาหวาและชุนชินอ๋อง ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเบิกกว้างในทันใด

เหยาหวากำลังตั้งครรภ์ อย่างน้อยก็ประมาณ 4-5 เดือน ทำไมถึงมองไม่ออก?

บ้าที่สุด การฆ่าทายาทของราชวงศ์เป็นอาชญากรรมร้ายแรง นี่องค์หญิงเหยาหวาต้องการฝั่งครอบครัวของนางทั้งสามคนไปพร้อมกันเลยอย่างนั้นหรือ?

เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธในหัวใจ หันไปใช้สายตากับหวังจิ่นหลิง ให้เขาช่วยหาวิธีที่จะปลุกระดมฝูงชนและบีบบังคับองค์หญิงเหยาหวา

แม้หวังจิ่นหลิงไม่รู้สถานการณ์ขององค์หญิงเหยาหวา แต่ก็รู้ว่าหากอยู่บนถนนเส้นนี้ต่อไป มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิง หวังจิ่นหลิงพยักหน้าและลุกขึ้นยืน

“องค์หญิงเหยาหวา ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้เพราะเหตุใด แต่เจ้ากับเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งซีหลง อนาคตพระชายาชุนอ๋อง เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เฟิ่งชิงเฉินจะไปเอาความกล้าที่ไหนไปโต้เถียงกับเจ้า เจ้ากล่าวว่าเพื่อขจัดความคับข้องใจอันยิ่งใหญ่ ข้าว่ามันออกจะเกินไป เจ้ากับเฟิ่งชิงเฉินเดิมทีไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกันอยู่แล้ว

วันนี้เป็นวันฝังศพพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน ผู้ตายนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หวังว่าองค์หญิงเหยาหวา เจ้าจะเห็นสถานะอันยิ่งใหญ่ของผู้ตาย ยอมลุกขึ้นเพื่อหลีกทาง อย่าทำให้เวลาฝังศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินต้องช้าออกไป เจ้าทำแบบนี้เท่ากับว่าเจ้าไม่เคารพผู้ตาย”

ความหมายในคำพูดของหวังจิ่นหลิงคล้ายกับที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการ แต่มันดูโหดเหี้ยมกว่าที่เฟิ่งชิงเฉินคิด คำพูดนี้ของหวังจิ่นหลิงชี้ไปที่แรงจูงใจซ่อนเร้นขององค์หญิงเหยาหวา จงใจทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องลำบาก ไม่ยอมให้ไปฝังศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน

“เหยาหวา เจ้าลุกขึ้นเถิด มีเรื่องอะไรไว้รอหลังฝังศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินเสร็จแล้วค่อยว่ากัน เจ้าวางใจ หากเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าจะถวายรายงานแก่องค์จักรพรรดิ เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเจ้า” ผู้ซึ่งพูดออกมาไม่ใช่ใคร เขาคือคู่หมั้นของเหยาหวา ชุนชินอ๋อง

“ใช่ เหยาหวา หากเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ก็บอกกับพี่ หากเจ้าคิดว่าพี่ไม่มีกำลังพอจะช่วยเจ้าล้างแค้น เจ้าก็สามารถเขียนจดหมายไปหาเสด็จพ่อ ใครรังแกเจ้า พวกข้าจะให้เสด็จพ่อยกทัพมา ทำลายคนผู้นั้นให้สิ้นซาก”

อะไรที่เรียกว่าไม่มีพวกยังจะดีเสียกว่า ตอนนี้องค์หญิงเหยาหวากำลังประสบกับปัญหานั้นอยู่ นางกำลังถูกพวกเดียวกันแทงข้างหลัง

ชายที่มากับนางสองคน อาจจะดูเหมือนว่ากำลังพูดแทนนาง แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังเน้นย้ำว่าสิ่งที่นางทำนั้นกำลังสร้างความลำบากให้กับเฟิ่งชิงเฉิน

องค์หญิงเหยาหวาจะได้รับความไม่เป็นธรรมจากเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร หากนางถูกเฟิ่งชิงเฉินทำให้โกรธและให้เสด็จพ่อของนางออกหน้า อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวเลย ต่อให้มีเฟิ่งชิงเฉินเป็นสิบคนก็ยังต้องตายอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้มันดูเกินไป

“องค์หญิง เจ้าได้โปรดหลบทางด้วยเถิด อย่าทำให้พวกข้าต้องเสียเวลาเลย” ตี๋ตงหมิงกล่าวแนะนำออกมา

“องค์หญิงเหยาหวา ข้าไม่รู้ว่าพี่สาวของข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ แต่หากเจ้าทำร้ายนางเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถนำศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปฝังได้ทันเวลา ทำให้พวกเขาไม่พบเจอกับความสงบ ต่อหน้าโลงศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ? เจ้าไม่กลัวตกนรกขุมที่สิบแปดหรืออย่างไร?” คำพูดนี้ของหนานหลิงจิ่นสิงตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ไม่มีความเกรงใจแต่อย่างใด

“องค์หญิงเหยาหวา ทำอะไรก็ต้องมีขอบเขต วันนี้เป็นพิธีศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน พวกข้าไม่มีกะจิตกะใจจะมาเล่นกับเจ้า” หวังชีเองก็ออกมาตำหนิเช่นกัน

แต่คนเหล่านี้เทียบกับซุนซือสิงไม่ได้ ซุนซือสิงเอ่ยคำอ้อนวอนออกมาโดยตรง “องค์หญิงเหยาหวา เจ้าได้โปรดหลีกทางด้วยเถิด ถือว่าพวกข้าขอร้องท่าน หากอาจารย์ของข้าคุกเข่าให้เจ้าแล้วยังไม่เพียงพอ จะให้พวกข้าจะคุกเข่าให้เจ้าด้วยก็ย่อมได้ ขอแค่เจ้ายอมหลีกทางให้ พวกข้าจะคุกเข่าให้เจ้าทันที”

ก่อนหน้านี้ซุนซือสิงอาจจะดูงุนงง แต่ตอนนี้ความสามารถของเขามีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องดึงดูดความสนใจถือให้เป็นที่หนึ่ง ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินว่าข้ายอมคุกเข่าให้เจ้า และเมื่อสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น ซุนซือสิงจึงรีบคุกเข่าลงไปทันที

ซุนซือสิงนี่อะไรกัน? ก่อนหน้านี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลังจากจบเรื่องเวชศาลา ประชาชนในพระราชวังมีใครบ้างที่ไม่รู้จักซุนซือสิง ประกอบกับผู้เข้าร่วมพิธีศพในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยพิบัติที่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงเหยาหวาและซุนซือสิง เห็นซุนซือสิงคุกเข่า พวกเขาไม่แม้แต่จะคิด รีบคุกเข่าตามไปทันที

“องค์หญิงเหยาหวา พวกข้าต่างคุกเข่าเพื่อขอร้องเจ้า เจ้าได้โปรดลุกขึ้นมาเถิด ได้โปรดหลีกทางให้พวกข้า ได้โปรดปล่อยให้แม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปสู่สุคติ”

เสียงของคนเพียงคนเดียวอาจจะเบาเกินไป กำลังของคนเพียงคนเดียวอาจจะไม่มากพอ แต่หากมีเป็นพันคนเล่า?

ขณะเดียวกันผู้คนนับพันต่างพากันคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู พร้อมกับเอ่ยคำขอร้ององค์หญิงเหยาหวา “ท่านได้โปรดลุกขึ้นเถิด ได้โปรดปล่อยให้แม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินไปสู่สุคติ”

องค์หญิงเหยาหวาจะยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอและน่าสงสารต่อไปได้หรือไม่? องค์หญิงเหยาหวายังสามารถเล่นบทบาทว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนรังแกนางได้ต่อไปอีกหรือเปล่า?

ไม่มีทาง......

ดังนั้นครั้งนี้องค์หญิงเหยาหวาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ พ่ายแพ้ด้วยเนื้อมือของเหล่าประชาชนที่นางดูถูก

“องค์หญิงเหยาหวา พวกเรายอมคุกเข่าให้ท่านแล้ว องค์หญิงเหยาหวา พวกเราขอร้อง ท่านได้โปรด......”

องค์หญิงเหยาหวารู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปชั่วพริบตา นางได้ยินเสียงอ้อนวอนของประชาชนมากมาย นางกลายเป็นคนเอาแต่ใจในชั่วพริบตา กลายเป็นองค์หญิงผู้ชั่วร้าย ดื้อดึง และรังแกเฟิ่งชิงเฉิน

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

เห็นอยู่ว่านางเหนือกว่า ผ่านไปชั่วพริบตาทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้?

องค์หญิงเหยาหวาส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างกายของนางสั่นเทา พร้อมล้มลงกับพื้นในทุกเมื่อ

“ข้า......” องค์หญิงเหยาหวาต้องการแก้ตัว ต้องการบอกให้คนพวกนี้หุบปาก ไม่ใช่ว่านางต้องการทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องพบเจอกับความลำบาก แต่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมก้าวเข้ามาพยุงนาง ขอแค่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้ามาเพื่อพยุงนาง นางก็จะยอมลุกขึ้นแต่โดยดี

แต่ว่า......

แค่แรงพูดยังไม่มี ถึงต่อให้มีแรงพูด เสียงของนางก็คงส่งไปไม่ถึงผู้คนนับพันอยู่ดี

เหยาหวาฝากความหวังสุดท้ายไว้กับซีหลิงเทียนอวี่ หวังว่าซีหลิงเทียนอวี่จะช่วยนางได้ แต่นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าซีหลิงเทียนอวี่หันหน้าหนีไปตั้งแต่ตอนแรก และไม่เคยแม้แต่หันมามอง

ทำอะไรได้อย่างนั้น จะไปโทษใคร

เป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ไม่ชอบ กลับอยากเป็นผู้หญิงตัวน้อยที่น่าสงสาร คิดว่ามันจะได้ผลหรือไง ยัยผู้หญิงงี่เง่าไร้สมอง

ความหวังสุดท้ายหมดไป องค์หญิงเหยาหวาทนไม่ไหวแล้ว ภาพด้านหน้ากลายเป็นสีดำ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าองค์หญิงเหยาหวาไม่ได้เสแสร้ง จึงรีบตะโกนออกไปว่า “ท่านชุนอ๋อง องค์หญิงเหยาหวาหมดสติไปแล้ว ท่านได้โปรดพาคู่หมั้นของท่านกลับไปได้หรือไม่?”

“อะไรนะ? หมดสติไปแล้ว? ไม่ได้แกล้งหมดสติใช่ไหม?” เป็นอีกครั้งที่ตงหลิงจื่อชุนแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หากเหยาหวาฟื้นขึ้นมา นางจะต้องกระอักเลือดอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ