นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 776

โจ่วอันคุ้นชินกับชีวิตที่มีศัตรูตามมาแก้แค้นตนเองมานานแล้ว ขอแค่สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แปลก ๆ ซึ่งกำลังเข้าใกล้ที่พักของเขา โจ่วอันก็สามารถรับรู้ได้ทันที อีกอย่างเสด็จอาเก้าก็ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของตนเองแต่อย่างใด หากโจ่วอันยังไม่รู้ถึงการมาของเสด็จอาเก้า แบบนั้นเขาก็คงไม่คู่ควรกับอาชีพมือสังหาร

โจ่วอันขวางอยู่หน้าประตู ไม่ได้ลงมือและไม่ปล่อยให้เสด็จอาเก้าเดินเข้าไป เสด็จอาเก้าเองก็ไม่พูดอะไร จ้องมองโจ่วอันอย่างนิ่งสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกับความวิตกกังวลในใจของเขาอย่างสิ้นเชิง

เสด็จอาเก้าคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี โจ่วอันเองก็คุ้นเคยกับความเงียบ ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่นานโดยไม่พูดอะไร ราวกับกำลังแข่งกันว่าความอดทนของใครมากกว่า

เคยได้ยินมาว่าโจ่วอันเคยไม่พูดอะไรเป็นระยะเวลาสามเดือน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวเสด็จอาเก้า อีกอย่างต่อให้ร้อนรน คนที่ร้อนรนก็ไม่น่าใช่เขา

แต่ตอนที่เห็นแววตาอันล้ำลึกของเสด็จอาเก้าเปลี่ยนเป็นดวงตาอันเยือกเย็น โจ่วอันรู้สึกว่ากำลังถูกสายตาอันน่าหวาดกลัวของอาจารย์จ้องมองอยู่

ร่างกายของโจ่วอันสั่นเทา เขาเลิกต่อสู้อย่างไร้ความหมายกับเสด็จอาเก้า แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ไปทั้งแบบนี้ แววตาของโจ่วอันจับจ้องไปยังร่างของเฟิ่งชิงเฉิน ขมวดคิ้วและถามออกมาว่า “เสด็จอาเก้า นี่กำลังนำสองแสนแผ่นทองมามอบให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”

สองแสนแผ่นทองนั้นหมายถึงเฟิ่งชิงเฉิน ซึ่งหมายถึงชีวิตของนาง

“เจ้ารับไหวอย่างนั้นหรือ” เสด็จอาเก้าเลิกคิ้วขึ้น แม้จะไม่ได้ปล่อยจิตสังหารออกมา แต่โจ่วอันรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าไม่ชอบที่เขาพูดถึงเรื่องนี้

เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด โจ่วอันยักไหล่ ปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาไม่จำเป็นต้องไปเปิดจุดของเสด็จอาเก้า โจ่วอันไม่สนใจเสด็จอาเก้า มาหาถึงที่ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องให้ช่วย เขาไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปด้วยตนเอง

โจ่วอันยืนกอดอกพิงประตูด้วยท่าทางเกียจคร้าน มองมายังเสด็จอาเก้าอย่างนิ่งสงบ ต้องการดูว่าเสด็จอาเก้าจะพูดอะไรออกมา

ในโลกของโลกนักสังหารไม่มีใครเรียกชื่อของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาต่างเรียกเฟิ่งชิงเฉินว่าสองแสนแผ่นทอง นี่มันทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น กระตือรือร้นจะฆ่าเมื่อได้พบ และคำถามที่พบบ่อยก็คือ “สองแสนแผ่นทองตายไปแล้วหรือยัง?” ไม่ก็ “สองแสนแผ่นทองอยู่ที่ไหน?”

ด้วยเหตุนี้สามารถเห็นได้ทันทีว่าสำหรับมือสังหารแล้ว เฟิ่งชิงเฉินน่าดึงดูดมากเพียงใด หากไม่มีเสด็จอาเก้าอยู่ด้วย เขาคงตัดคอของเฟิ่งชิงเฉินไปตั้งนานแล้ว

เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าโจ่วอันเป็นคนอย่างไร ชีวิตนี้ของเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับอาวุธ ของสิ่งอื่นเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ดังนั้นเสด็จอาเก้าจึงโยนปืนในมือให้โจ่วอันและกล่าวว่า “ข้าและเฟิ่งชิงเฉินขอพักอยู่กับเจ้าชั่วคราว”

“ได้ ไม่มีปัญหา ส่วนจะเป็นหรือตายนั้นไม่เกี่ยวกับข้า” โจ่วอันคว้าปืนไว้ ทำการศึกษาทันที เสด็จอาเก้าอุ้มเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปด้านใน เขาก็ไม่ได้ขวางเอาไว้ หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินรู้ถึงนิสัยของโจ่วอัน นางสงสัยเป็นอย่างมากว่าโจ่วอันมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร สุดท้ายตอนนี้ถึงได้รู้ว่า โจ่วอันมีความสามารถที่รับรู้ถึงอันตรายโดยธรรมชาติ และมีความสามารถในการป้องกันตนเองของมือสังหารอยู่

เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาอาศัยอยู่ในที่พักของโจ่วอัน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรไม่พบเห็นร่องรอยของพวกเขามาเป็นเวลาหลายวัน

เนื่องจากใครก็ตามที่มีความสามารถต่างรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินมีมูลค่าสูงสุดในโลกของมือสังหาร ต่อให้พวกเขาตายก็คงคิดไม่ได้ว่า เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินซึ่งได้รับบาดเจ็บมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของโจ่วอัน นี่ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนอย่างนั้นหรือ แต่......

ช่วงนี้หลายคนทำตัวแปลกประหลาด เสด็จอาเก้ากล้าเข้ามาอาศัย โจ่วอันก็ไม่ลงมือสังหารเฟิ่งชิงเฉิน ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินพักฟื้นอยู่ในบ้านของเขา นำยาและอาหารที่เขารวบรวมไว้เป็นอย่างดีกินเข้าไปเหมือนขนม

เอาเถอะ ในความเป็นจริงโจ่วอันผู้คลั่งไคล้ในอาวุธได้อยู่ในห้องทดลองของตนเองมาเป็นระยะเวลาห้าวันโดยไม่ออกมาด้านนอก เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้คลั่งไคล้ในอาวุธมากแค่ไหน เขาไม่ได้ถามเสด็จอาเก้าด้วยซ้ำว่าเสด็จอาเก้ามอบปืนกระบอกนี้ให้กับเขา หรือว่าให้เขายืมไปศึกษาเพียงเท่านั้น

ต้องบอกเลยว่าโจ่วอันใช้ชีวิตอยู่ในซีหลิงได้ไม่เลว เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินพักอยู่ในบ้านของเขามาเป็นเวลาห้าวัน องครักษ์เสื้อแพรถึงจะค้นพบร่องรอยบางอย่าง

โดยไม่คาดคิด เมื่อองครักษ์เสื้อแพรยืนยันข้อมูลว่าเป็นความจริง เตรียมพร้อมจะลงมือ รอยคล้ำใต้ดวงตา ตาแดง ผอมแห้ง แต่โจ่วอันกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาเดินออกมาจากห้องวิจัยพร้อมกับชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย

โจ่วอันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาอยากจะคุยกับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นเจ้าของปืน สุดท้ายกลับพบว่าบ้านของตนเองถูกล้อมไปด้วยองครักษ์เสื้อแพร ใบหน้าของเขาเยือกเย็นขึ้นทันที ปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงไปยังพวกขององครักษ์เสื้อแพร

จิตสังหารของโจ่วอันนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ผู้ที่เคยเห็นฉากอันน่ากลัวและผ่านการต่อสู้มามากมาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารของโจ่วอันกลับอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ฝืนก้าวไปด้านหน้า “คุณชายโจ่ว ข้าได้รับคำสั่งให้มาจับตัวผู้หลบหนี คุณชายโจ่วโปรดให้ความร่วมมือ”

อีกฝ่ายให้เกียรติมาก แต่โจ่วอันไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “อย่ามาเรียกข้าว่าคุณชายโจ่ว อยากขอความร่วมมือก็ให้ไปขอกับแม่ของเจ้า อย่าเข้ามายุ่งในพื้นที่ของข้า”

เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามา อย่างน้อยก่อนที่โจ่วอันจะรู้ถึงเหตุผลที่ชัดเจน เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้คนพวกนี้ทำร้ายเฟิ่งชิงเฉิน

“คุณ คุณชายโจ่ว เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิงแอบเข้ามาในประเทศของเราด้วยเจตนาชั่วร้าย จักรพรรดิสั่งให้องครักษ์เสื้อแพรมากำจัดเขา คุณชายโจ่ว ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่ง ขอคุณชายโจ่วโปรดอย่าทำให้พวกข้าต้องลำบากใจ” รองหัวหน้าของอีกฝ่ายกล่าวออกมา

คนอื่นไม่รู้แต่พวกเขาที่เป็นองครักษ์เสื้อแพรรู้ คุณชายโจ่วคือลูกชายขององค์หญิงจางกับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย องค์หญิงจางมีลูกชายเพียงคนเดียว แม้จะไม่ยอมรับว่าเป็นลูกในไส้ของตนเอง แต่ก็รักและห่วงใยเป็นอย่างมาก ส่วนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่ว่าเห็นแก่หน้าขององค์หญิงจาง หรือว่าเป็นเพราะรักลูกชายของเขา เขาไม่เคยทำให้โจ่วอันต้องเจ็บปวด

น่าเสียดาย ตั้งแต่ที่โจ่วอันบูชานักฆ่าเป็นอาจารย์ โดยพื้นฐานแล้วเขาต้องออกจากซีหลิง ตัดขาดกับซีหลิง เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากซีหลิง ตรงกันข้าม มีแต่ซีหลิงต้องการความช่วยเหลือจากเขาเพื่อสังหารคนที่หมายหัว

โจ่วอันไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจของจักรวรรดิ และคำพูดของรองหัวหน้าทำให้ความอดทนของเขาใกล้จะหมดลง เขาพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “มันไม่ใช่เรื่องของข้า พวกเจ้าไสหัวไป ไม่ก็บุกเข้ามา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ