บาดแผลบนใบหน้าของซุนยี่จิ่นดูน่ากลัว แต่ในความเป็นจริง แผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือแผลบนหน้าผากของนางแต่ไม่ได้โดนส่วนสำคัญ
เพียงแค่ทำความสะอาดและเย็บแผลก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แน่นอนว่าย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เสียโฉม แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพยายามที่จะปกปิดบาดแผลไว้ใต้ไรผมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
สำหรับบาดแผลบนหน้าผากนั้นทำได้เพียงแต่ดูว่าในอนาคตจะทำศัลยกรรมได้หรือไม่
หลังจากจัดการกับบาดแผลภายนอกเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่ซุนยี่จิ่นมีเพียงอาการกระทบกระเทือนทางสมอง เพียงแค่นางดูแลมันอย่างดีก็พอแล้ว หากมีอาการบาดเจ็บภายในกะโหลกเช่นเลือดคั่งในสมอง เฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่สบายเช่นนี้
สำหรับอาการบาดเจ็บที่ปอดและเลือดคั่งที่ทรวงอก เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถทำอะไรได้กับมันได้ชั่วคราว
แม้ว่าจะมียาและอุปกรณ์ที่ต้องใช้อยู่ในกล่อง แต่แสงในห้องของนางมืดเกินไป บวกกับที่นางหมดแรงแล้วในวันนี้ นางจึงไม่อาจทำการผ่าตัดต่อไปได้
ร่างกายเป็นจุดศูนย์รวมของชีวิต นางไม่อยากตายบนโต๊ะผ่าตัด มือของนางไม่สามารถถือมีดผ่าตัดไหวอีกต่อไป
ในเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินคิดถึงหลานจิ่วชิงเป็นอย่างมาก ครั้งที่แล้วที่เขานวดมือให้นางเบาๆ ก็บรรเทาความอ่อนล้าของมือนางได้ แต่ตอนนี้เล่า?
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจอย่างไรเรี่ยวแรง อย่าว่าแต่นวดมือทั้งสองของนางเลย เพียงได้พักสักหน่อย นางก็พอใจแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินลากร่างกายอันอ่อนล้าของนางไปเก็บกวาดยาในห้อง
หลังจากแน่ใจว่าอาการของซุนยี่จิ่นคงที่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็นั่งข้างๆ รอจนให้น้ำเกลือของซุนยี่จิ่นจนเสร็จจึงได้ไปพักผ่อน
นางนวดมือให้ตนเองอย่างขอไปที แต่ยิ่งนวดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดถึงฝีมือของหลานจิ่วชิงมากขึ้นเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินเริ่มอยู่ไม่สุข นางลุกขึ้นและเริ่มเขียนคำสั่งแพทย์
การพักฟื้นและการฟื้นตัวในระยะต่อไปอาจส่งต่อให้หมอท่านอื่น บางทีอาจได้ผลดีขึ้น เฟิ่งชิงเฉินยังคงเชื่อมั่นในยาจีนโบราณในยุคนี้
หลังจากเขียนคำสั่งแพทย์เสร็จแล้ว ซุนยี่จิ่นก็ให้น้ำเกลือหมดพอดี หลังจากเก็บขวดยาและถุงเลือดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไปหาโจวสิง ให้เขาไปหาหมอดีๆ มา แต่ทันทีที่เขาเดินออกจากลานบ้านไปก็พบว่า...
ลานบ้านของนางถูกล้อมด้วยทหารอย่างแน่นหนา ทหารของอวี่เหวินหยวนฮั่วประจันหน้าอยู่กับผู้ส่งสารราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูที่น่าเกรงขาม
อวี่เหวินหยวนฮั่วยืนอยู่ตรงกลางอย่างไม่ยอมถอยพร้อมสีหน้าโกรธจัดบน
"เกิดอะไรขึ้น?" เฟิ่งชิงเฉินเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
อวี่เหวินหยวนฮั่วออกหน้าด้วยตนเองก็ยังขวางไว้ไม่ได้ เกรงว่าวันนี้จะโชคไม่ดีเสียแล้ว
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินออกมา ขุนนางในชุดเสื้อแพรปักลายปลาบินก็เดินออกมาจากด้านหลังฝูงชน ไม่ว่าเขาเดินไปทางใด เหล่าทหารต่างก็แหวกทางให้ด้วยสีหน้าเคารพ
ผู้มาเยือนหยุดฝีเท้าลงที่ด้านหน้าเฟิ่งชิงเฉินและหยิบป้ายสัญลักษณ์อย่างเย่อหยิ่งพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา "เฟิ่งชิงเฉิน ข้าคือลู่เส้าหลินผู้บัญชาการหน่อยองครักษ์เสื้อโลหิต เจ้าถูกสงสัยว่าเป็นผู้สังหารแม่นางซุน โปรดตามพวกเรามาด้วย"
ว่าแล้วเขาก็ไม่ได้ให้โอกาสเฟิ่งชิงเฉินพูดเลยและสั่งให้คนเอาเชือกมามักมือนางโดยตรง
"อะไรนะ?" เฟิ่งชิงเฉินตามไม่ทันอยู่นาน จนกระทั่งมีโซ่ตรวนมาล่ามที่ข้อเท้าของนาง
องครักษ์เสื้อโลหิต?
นี่เป็นหน่วยงานแบบใดกัน ในราชวงศ์หมิงมีองครักษ์เสื้อแพร องครักษ์เสื้อโลหิตแห่งราชวงศ์ตงหลิงคล้ายกับองครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์หมิงหรือไม่?
เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่อวี่เหวินหยวนฮั่วและต้องการขอให้เขาเป็นพยาน อวี่เหวินหยวนฮั่วคิดว่านางกำลังขอความช่วยเหลือจากเขาจึงได้ส่ายหัวอย่างอ่อนแรง "เฟิ่งชิงเฉิน องครักษ์เสื้อโลหิตจัดการคดี แม้จะเป็นข้าก็ไม่อาจแทรกแซงได้ เจ้าดูแลตัวเองเถอะ"
หากเข้าไปในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว ไม่สำคัญว่าจะมีความผิดหรือไม่ก็จะถูกลงโทษก่อน แม้ว่าจะออกมาอย่างมีชีวิตอยู่ก็แทบจะต้องเสียไปทั้งชีวิต
ต้องบอกว่าแผนการครั้งนี้ขององค์หญิงอันผิงช่างโหดร้ายยิ่งนัก ใส่ร้ายป้ายเสียจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
ลู่เส้าหลินแค่นเสียงเยาะเย้ย ดูโหดเหี้ยมมากในราตรีอันมืดมิด "แม่นางเฟิ่ง อย่าหวังให้ใครมาช่วยเลย ไม่มีใครสามารถช่วยได้หรอก เมื่อตกอยู่ในมือขององครักษ์เสื้อโลหิตแล้วก็จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีก ยิ่งคดีของเจ้าแล้ว ทั้งพยานและหลักฐานล้วนหนาแน่น แม่นางเฟิ่ง เจ้าเงียบได้แล้ว เมื่อไปถึงเจ้าย่อมมีโอกาสได้พูดเอง"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ