ตอนที่ 1038 กุนซือผู้มากประสบการณ์
ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ท้องพระโรงเฉิงเทียนราวครึ่งชั่วยาม
เขาใช้เวลาทั้งครึ่งชั่วยามทำอยู่เรื่องเดียว ซึ่งนั่นก็คือถ่ายทอดความสำคัญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับเหล่าขุนนางได้รับรู้
ขุนนางเหล่านี้จิตใจคับแคบจนเกินไป หากเป็นทางด้านความคิด พวกเขายังล้าหลังกว่าขุนนางที่เมืองกวนหยุนเป็นปี ๆ
พวกเขามิได้มีความตระหนักรู้ว่าความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะนำพาการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดินมาให้
ด้วยเหตุนี้การปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงกระจุกอยู่ที่สี่เต้าภายใต้การควบคุมของเมืองกวนหยุนเท่านั้น ส่วนเมืองจินหลิงยังคงย่ำอยู่กับที่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงใช้โอกาสนี้มาช่วยกระตุ้นพวกเขาด้วยตนเอง
เมื่อเขาเอ่ยว่าเครื่องทอผ้าของตระกูลซือหม่า บัดนี้ถูกขับเคลื่อนโดยเครื่องจักรไอน้ำ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้นเป็นสามเท่า ครานี้เหล่าเสนาบดีถึงได้รู้ตัวว่าตนเองได้ล้าหลังกว่าผู้อื่นแล้ว
สิ่งเหล่านี้ควรตระหนักรู้ด้วยตนเอง ทว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ค้นพบปัญหาหนึ่ง ซึ่งก็คือวิทยาศาสตร์ได้ก้าวนำการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เขามักจะส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ ทว่ากลับมิเคยส่งเสริมให้ขุนนางเหล่านี้ก้าวหน้าทางความคิดเลย !
เอ่ยอีกนัยหนึ่งคือเขาได้มองข้ามขีดจำกัดของวิสัยทัศน์เละความคิดของผู้คน
และอีกหลาย ๆ เต้าที่เหลือในต้าเซี่ยก็คงจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน นี่คือปัญหาใหญ่ระดับชาติ
หนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์ก็มีปัญหาให้ต้องแก้ไขเช่นกัน เมื่อกลับไปต้องให้พวกเขาเพิ่มหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขียนถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟู่เสี่ยวกวนพาเจี่ยหนานซิงกลับไปยังจวนเซิ่งกั๋วกง เขาได้ร่างพระราชโองการมาหนึ่งฉบับ จากนั้นก็ให้ฝูงมดส่งต่อไปยังเมืองกวนหยุน ว่าด้วยเรื่องของความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี !
สวี่หยุนชิงได้กลับมาแล้ว เมื่อคืนนางอยู่ที่ห้องพระทั้งคืนตามที่นางได้ลั่นวาจาไว้ บัดนี้นางจึงกลับมายังจวนเซิ่งกั๋วกงเพื่อพักผ่อน
เจี่ยหนานซิงเอนกายลงนอนบนเก้าอี้เอนหน้าประตู เขาจะเป็นยามเฝ้าประตูให้กับฟู่เสี่ยวกวนไปชั่วชีวิต
ฉินปิ่งจงได้กลับไปที่จวนตระกูลฉิน เพราะเยี่ยงไรเสียที่นั่นก็เป็นบ้านเก่าของเขาเลยคิดอยากจะกลับไปเยือนสักหน่อย
ซูซู สวี่ซินเหยียน หนานกงตงเซวี๋ยเดินทางไปยังเขตสลัม พวกนางเอ่ยว่าจะไปดูสิ่งก่อสร้างและผลประกอบการณ์ที่นั่นสักหน่อย
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ว่าตนเองจะไปที่ใดดี ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจพาเป่ยหวังฉวนเดินทางไปยังจวนตระกูลเยี่ยน
เมื่อไปถึงก็เห็นเยี่ยนเป่ยซีกำลังกำจัดวัชพืชอยู่ในสวนผัก
ยังคงเป็นแปลงผักแปลงนั้น ทว่าบัดนี้แปลงผักนั้นมีผักงอกเขียวชอุ่ม
เยี่ยนเป่ยซีสวมชุดผ้าป่านและสวมหมวกฟาง เขากำลังก้มตัวลงถอนวัชพืชที่แอบแฝงอยู่บนแปลงผักอย่างพิถีพิถัน
เมื่อยามเฝ้าหน้าประตูพาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา เขาถึงได้ยอมลุกขึ้น จากนั้นก็หันไปยิ้มกว้างให้กับฟู่เสี่ยวกวนพลางแบกจอบเดินออกมาจากสวนผัก
“กระหม่อมชรามากแล้ว… ชรามากแล้วจริง ๆ ทำงานไร่งานสวนเพียงครู่เดียวก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่าง…ฝ่าบาทเชิญประทับก่อนเถิด กระหม่อมขอตัวไปล้างมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นหลังที่ค้อมงอของเยี่ยนเป่ยซี เขาจึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าอายุเป็นดังมีด ทั้งยังเป็นมีดที่แหลมคมอีกต่างหาก
ณ ห้องหนังสือที่เรือนนี้เมื่อปีกลาย เยี่ยนเป่ยซียังคงดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์หยู ทั้งสองเคยนั่งหารือกันเรื่องการบ้านการเมือง
แม้ในตอนนั้นเส้นผมบนศีรษะของเยี่ยนเป่ยซีจะมีหงอกขาวโพลนแล้วก็ตาม ทว่าเอวของเขายังคงยืดตรงได้อยู่ ทั้งยังดูกระฉับกระเฉงมากยิ่งนัก
ทว่าบัดนี้…แม้จะเดินเฉย ๆ ก็ยังดูกะโผลกกะเผลก ดูมิมั่นคงเหมือนแต่ก่อน ดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงในศาลาพักร้อนพลางจัดแจงต้มชาหนึ่งกาด้วยตนเอง
ผ่านไปครู่หนึ่งเยี่ยนเป่ยซีถึงได้เดินกลับมา จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา
“เจ้าลองดูเถิดว่าข้าปลูกผักเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองแล้วตอบว่า “จากมุมมองของข้า ข้าคิดว่าปลูกใกล้กันจนเกินไป ควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นสักหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)