นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1102

สรุปบท ตอนที่ 1102 เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 1102 เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1102 เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 1102 เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง

รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สอง ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาบรรจบอีกครา

ฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางในเดือนสามฤดูใบไม้ผลิอันสดใส จากเมืองกวนหยุนไปยังท่าเรือเซี่ยเย๋

บัดนี้ท่าเรือที่เซี่ยเย๋ได้สร้างเสร็จสิ้นแล้ว เมืองเซี่ยเย๋อยู่ห่างจากท่าเรือเซี่ยเย๋เพียงแค่สิบกว่าลี้ ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้โดยมากเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิม ทว่าบัดนี้มีคนจากต้าเซี่ยเดินทางไปยังเซี่ยเย๋มากแล้วเช่นกัน

สถานที่แห่งนี้มีทหารเรือกองทัพที่สามจำนวน 100,000 นายคอยคุ้มกันอยู่ ทั้งยังมีการสนับสนุนจากกองนาวิกโยธินอีก 20,000 นาย

เมืองเซี่ยเย๋ถูกสร้างขึ้นภายใต้แผนงานของเมืองกวนหยุน รูปแบบค่อนข้างหยาบ มีเงาของเมืองกวนหยุนเล็กน้อย

ที่เมืองแห่งนี้มีจวนขนาดใหญ่อยู่จวนหนึ่ง มิใช่ที่ว่าการของขุนนางแต่อย่างใด ทว่าเป็นสถานที่ที่องค์จักรพรรดิใช้ในการทรงงาน

ฟู่เสี่ยวกวนพาหลิวจิ่นและหนิงซือเหยียนเดินทางมายังเมืองที่เพิ่งก่อสร้างขึ้นมาใหม่นี้ ภายในเมืองมีบรรยากาศการค้าที่คึกคัก สิ่งของที่มีวางขายในเมืองกวนหยุน ก็สามารถหาซื้อได้ในเมืองนี้เช่นกัน อาหารที่มีขายในเมืองกวนหยุน ที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีเช่นกัน

รายได้ส่วนใหญ่ของประชากรที่อาศัยอยู่ ณ เมืองนี้ โดยมากมาจากการต่อสร้างเรือและการขนส่งทางน้ำ ที่ท่าเรือเซี่ยเย๋นั้นมีอู่ต่อเรือขนาดมหึมาอยู่ถึงสิบแห่ง มีช่างต่อเรือมากถึงแสนคน

วัสดุที่ใช้ในการสร้างเรือรบ โดยมากขนส่งมาจากท่าเรือเจียงเฉิง ดังนั้นการขนส่งทางน้ำจึงสามารถจัดการปัญหาเรื่องการว่างงานหลายหมื่นคนได้โดยง่าย

ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเหล่านี้ค่อย ๆ ถูกชาวต้าเซี่ยโน้มน้าวให้หลอมรวมเป็นหนึ่ง พวกเขาละทิ้งหอกกระดูกเหล่านั้น แล้วหันมาสวมใส่เสื้อผ้า หยิบจับอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในเมือง กลายเป็นประชากรของต้าเซี่ยไปโดยปริยาย

เรื่องนี้…ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกพออกพอใจมากยิ่งนัก

พวกเขาเดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งเดินไปถึงถนนที่ห่างไกลความเจริญเส้นหนึ่ง เขาได้ยินเสียงอ่านหนังสือดังเจื้อยแจ้วขึ้นมา จึงเดินเข้าไปดู พบว่าที่นี่คือโรงเรียนที่ต้าเซี่ยก่อตั้งขึ้นมา เมื่อมองจากหน้าต่างเข้าไป จะเห็นว่าด้านในมีเด็กอายุสิบกว่าปีราว 50 คน

มองดูแล้ว นโยบายด้านการศึกษาของต้าเซี่ยคงมิเลวเสียทีเดียว

เขายืนฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวขาเดินจากไป เมื่อมาถึงถนนที่ดูคึกคัก ก็ได้กลิ่นหอมของหม้อไฟหอมกรุ่นลอยมาตามสายลม ที่นี่มีหม้อไฟด้วยหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา คาดว่าเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว นี่ยังมิถึงเวลาอาหารเย็นเลยนี่

เขาเดินตามกลิ่นหอมของหม้อไฟจนมาถึงทางเข้าร้าน พบว่าป้ายหน้าร้านเขียนชื่อร้านเอาไว้ว่า…หม้อไฟสู่ตี้

บัดนี้ยังเร็วเกินไป ในร้านจึงมิมีลูกค้าเลยสักคน มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบ

เขาทำท่าทางครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองดู พบว่าฝั่งตรงข้ามมีโรงน้ำชาชื่อว่าชุนยุนตั้งอยู่ จึงหันไปกำชับกับหลิวจิ่นว่า “จงเดินทางไปยังกองนาวิกโยธินแล้วเรียกเฮ้อซานเตามาพบข้า อ้อแล้วก็…เรียกปิซาร์โรมาด้วย”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หลิวจิ่นโบกรถม้าแล้วรีบเดินทางไปจัดการอย่างรวดเร็ว

ฟู่เสี่ยวกวนและหนิงซือเหยียนก้าวเข้าไปในโรงน้ำชาชุนยุน ภายในร้านมีโต๊ะอยู่สิบกว่าตัว หกโต๊ะด้านหน้ามีแขกนั่งอยู่เต็มแล้ว แต่ก็หาได้ส่งเสียงดังเอะอะอันใดไม่ โต๊ะด้านหน้าในห้องโถงมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเล่าเรื่องอย่างออกรสอยู่

ชายหนุ่มผู้นั้นตบโต๊ะเสียงดัง “ปึง ! ” เขาถ่มน้ำลายออกมาแล้วจ้องมองไปทางผู้เล่าเรื่อง “ข้าว่าเจ้าเองก็น่าจะเดินทางมาหลายแห่งแล้ว เจ้าก็น่าจะรู้กติกาอยู่บ้าง เงินในตะกร้านี้จงวางเอาไว้ ต่อจากนี้หากเจ้ามาเล่าเรื่องในเซี่ยเย๋ จงจำเอาไว้ว่าต้องแบ่งเงินครึ่งหนึ่งให้แก่ข้านายท่านเจ็ดผู้นี้ด้วย ! ”

ผู้เล่าเรื่องรีบโค้งคารวะแล้วเอ่ยถามว่า “ขออภัย มิทราบว่านายท่านเจ็ดคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

ชายหนุ่มผู้นั้นได้ตบลงบนโต๊ะอีกครา จากนั้นก็จ้องมองไปทางชายผู้เล่าเรื่องอย่างมาดร้าย “เจ้ามิรู้จักนายท่านเจ็ด เจ้ายังกล้าทำมาหากินในเซี่ยเย๋อยู่อีกหรือ ? ”

คนจากโต๊ะอื่น ๆ เมื่อได้ยินว่าคนของนายท่านเจ็ดกำลังหาเรื่อง แต่ละคนก็ได้แต่ส่งสายตามองชายผู้เล่าเรื่องและแม่นางน้อยด้วยความเห็นอกเห็นใจ จากนั้นก็ได้วางถ้วยชาลงแล้วค่อย ๆ ทยอยออกไปจากโรงน้ำชาแห่งนี้

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเข้ามุ่น หนิงซือเหยียนจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “รอดูก่อน”

“นายท่านขอรับ ข้าน้อยเพิ่งเคยเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ มิรู้จริง ๆ ว่านายท่านเจ็ดคือผู้ใด เงินนี้…ครึ่งหนึ่งข้ามอบให้นายท่านเจ็ด อีกครึ่งหนึ่งมอบให้ท่านเป็นค่าคุ้มครองและชี้นำ ขอร้องนายท่านเห็นแก่พวกเราสองพ่อลูกด้วยเถิด เหลือเศษเงินสักเล็กน้อยเอาไว้เป็นค่าที่พักและอาหารจะได้หรือไม่ ? ”

เมื่อลู่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกมิพอใจขึ้นมาทันใด นี่คือเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก เหตุใดอยู่ ๆ ถึงต้องยอมให้คนเหล่านี้ด้วยเล่า

นางกอดตะกร้าเอาไว้แน่น สายตาจดจ้องไปยังชายหนุ่มผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ภายใต้กฎหมายบ้านเมือง ที่เซี่ยเย๋ก็ถือเป็นผืนปฐพีของต้าเซี่ยเช่นกัน นับเป็นผืนปฐพีขององค์จักรพรรดิ เหตุใดพวกเจ้าถึงกล้ายึดอำนาจเล่า ! ”

ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เขายังคงใช้เท้าเหยียบโต๊ะไว้ดังเดิมพลางเอ่ยออกมาว่า “ฝ่าบาทอยู่ที่เมืองกวนหยุน ส่วนที่นี่เป็นเซี่ยเย๋…ข้านายท่านเจ็ดว่าเยี่ยงไรก็คือเยี่ยงนั้น ! ”

“ส่งตะกร้ามา มิเช่นนั้นพวกเจ้าอย่าได้คิดว่าจะออกจากเมืองเซี่ยเย๋ไปได้ ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)