นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1210

ตอนที่ 1210 ร่ำสุรา

“เรื่องราวมากมายในใต้หล้า มิอาจสุขสมดั่งใจปอง มิจำเป็นต้องโศกเศร้าระกำใจ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มเมาสุรา เขายกจอกสุราขึ้นมาแล้วหันไปมองพวกเยี่ยนซีเหวินพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยว่า “ว่างเว้นจากการงาน นัดมิตรสหายมาสังสรรค์ ริมฝั่งลำธารใต้ผืนนภา หรือจะเล่นเครื่องดีด เล่นหมากรุก สนทนาสัพเพเหระ หรือจะส่งสุราข้ามลำธารตามประเพณี1 หรือจะสนทนาถึงความรุ่งเรืองและการล่มสลายของวันนี้และวันวาน หรือจะขับร้องกวีพลางดื่มสุราจนเมามาย… หรือจะล่องลอยในวารีที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้วประพันธ์กวีพลางขับร้องตามใจหวัง”

“พวกเจ้าคิดว่าคืนวันเช่นนี้ช่างสำราญใจยิ่งนักใช่หรือไม่ ? ”

หยุนซีเหยียนหันไปมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นมาแล้วเอ่ยในขณะที่เริ่มเมาแล้วเช่นกัน “เปรี้ยว…เปรี้ยวยิ่งนัก ! ”

“ฝ่าบาท…พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิของพวกเรา ! จะเศร้าระทมใจ จะเจ็บปวดรวดร้าวไปเพื่ออันใดกัน ? อารมณ์เช่นนี้จะพลอยส่งผลกระทบต่อพวกกระหม่อมด้วย ! ”

“เรือรบของต้าเซี่ยเพิ่งจะถอนสมอล่องมหาสมุทร ฝ่าบาทอย่าได้ลืมเชียวว่ายังมีราษฎรต้าเซี่ยอีก 60 ล้านคนที่ยังมิอาจสลัดพ้นความยากจน ! ฝ่าบาทคิดจะทอดทิ้งพวกเขา มิใส่ใจพวกเขาแล้วหนีไปเสวยสุขแต่เพียงผู้เดียวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือว่าหากฟ้ามิได้ประทานฟู่เสี่ยวกวนมาให้ ใต้หล้าคงมืดมิดไปตลอดกาล ? ”

“ฝ่าบาทเพิ่งจะส่องสว่างให้ใต้หล้าได้มินานก็คิดจะหนีแล้วหรือ ? นี่เท่ากับมิรับผิดชอบมิใช่หรือ มา ๆ ๆ พวกเรามาดื่มสุราจอกนี้ด้วยกันเถิด เพื่อให้เรือของเราลอยล่องได้ต่อไป เพื่อให้เรือของเราเดินทางท่องใต้หล้าอันงดงามได้ต่อไป”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดี ๆ ๆ เมื่อมีพวกเจ้าคอยเตือนสติ ในใจของข้ารู้สึกราวกับว่าความมุ่งมั่นได้ก่อตัวขึ้นมาอีกครา”

“สามจอก พวกเราชนสามจอก ! ”

“อีกประเดี๋ยวเมื่อดื่มเสร็จ พวกเราไปเที่ยวชมตรอกปู๋เย้ด้วยกันเถิด ! ”

เยี่ยนซีเหวินตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้สะเทือนไปทั้งหอซื่อฟาง ฮั่วหวยจิ่นถึงกับต้องรับสั่งให้ทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์ หากฝ่าบาทเดินทางไปตรอกปู๋เย้อีก…ฮั่วหวยจิ่นจะมิยกกองทัพมาคอยประกบเลยหรือเยี่ยงไร ?

มิได้การ ! จำต้องมอมฝ่าบาทให้เมาเสียแล้ว !

เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยนซีเหวินจึงลุกขึ้นยืน หลังจากที่ดื่มหมดแล้วสามจอก “ทุกท่าน…อย่าได้ลืมว่าองค์จักรพรรดิของพวกเรานั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถเก่งกาจเหนือผู้ใดในปฐพี ! ”

เขาบิดขวดสุราแล้วรินให้ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “หลายปีมานี้ฝ่าบาทมัวแต่บริหารบ้านเมือง ยกทัพพิชิตเหนือจรดใต้ สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ต้าเซี่ย จึงเป็นเหตุให้วันนี้ราษฎรก็ต่างลืมสิ้นแล้วว่าฝ่าบาทยังเชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมอีกด้วย”

“กระหม่อมอยากใช้โอกาสที่พวกเราต่างก็เบิกบานใจในวันนี้ ให้ฝ่าบาทประพันธ์กวีสักบท เพื่อให้พวกกระหม่อมได้เห็นเป็นประจักษ์ว่าความสามารถของฝ่าบาทก้าวหน้าหรือถอยหลัง เช่นนี้ดีหรือไม่ ? ”

ข้อเสนอของเยี่ยนซีเหวินได้รับความเห็นชอบจากคนทั้งวงในทันที

“เยี่ยนซีเหวินเอ่ยได้ดียิ่ง” หนิงหยู่ชุนยกยิ้มขึ้นพลางหันไปมองหยุนซีเหยียน “ท่านเสนบดีหยุน หนังสือรวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นยังมีขายอยู่หรือไม่ ? ประเดี๋ยวค่อยเพิ่มไปอีกหนึ่งบท ข้าว่าต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน ! ”

หน้าหยุนซีเหยียนหน้าแดงเรื่อ ทว่าเขาก็ยืดอกยอมรับอย่างกล้าหาญ

“ตอนนั้นข้ายากจนยิ่งนัก เงินทุกอีแปะล้วนได้มาจากการขายหนังสือรวมบทกวีของฝ่าบาท ข้าขอเปิดเผยตรงนี้เลยว่า เงินที่ข้าใช้ซื้อจวนที่เมืองกวนหยุน ล้วนเป็นเงินจากการขายหนังสือรวมบทกวีของฝ่าบาททั้งสิ้น”

“บัดนี้ย้ายมาเมืองฉางอันแล้ว ข้าจำต้องซื้อจวนเพื่อลงหลักปักฐานที่นี่” เขาหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตารอคอย “ฝ่าบาท กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะประพันธ์บทกวีให้มากกว่านี้ ครานี้กระหม่อมรับประกันเลยว่าจะพิมพ์หนังสือรวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนให้วิจิตรบรรจงยิ่งกว่าเดิม ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะจนตัวโยน อยู่ ๆ ภาพชายหนุ่มที่ยืนขายหนังสือรวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่หลานถิงจี๋ในเมืองจินหลิงก็ฉายชัดขึ้นมาในหัว ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจที่เขาทำเช่นนี้ เพราะหยุนซีเหยียนได้ช่วยเผยเเพร่บทกวีของเขาต่อราษฎรอยู่กลาย ๆ ทั้งยังช่วยสร้างรายได้ให้เขามิน้อยเช่นกัน

เขาดื่มสุราจนหมดจอกแล้วยืนขึ้น “เมื่อย้อนนึกถึงวันวาน…เอาเถิด แท้ที่จริงตอนนี้พวกเราก็ยังเยาว์วัยอยู่มิใช่หรือ”

“ข้าขอใช้สุราจอกนี้ เล่านิทานให้พวกเจ้าได้ฟังเสียก่อน”

เมื่อฝ่าบาทเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทั้งห้องก็เงียบสนิทลงทันใด ทุกคนต่างก็เคยเห็นเขาประพันธ์กวีมานับครั้งมิถ้วน แต่เมื่อเขาเอ่ยว่าจะเล่านิทาน พวกเขาจึงรู้สึกมึนงงขึ้นมาทันใด

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็เปิดปากเล่านิทานให้สหายฟัง “กาลครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว มีราชวงศ์หนึ่ง ชื่อว่า…ราชวงศ์ถัง ช่วงเริ่มแรกของราชวงศ์ถัง มีจักรพรรดิไท่จงผู้มีพระนามเดิมว่าหลี่ซื่อหมิน เขาทุ่มเทให้กับประเทศชาติจนเจริญรุ่งเรือง พระองค์ทำให้ราชวงศ์ถังสงบสุข ราษฎรอยู่อย่างผาสุก คนรุ่นหลังได้ยกย่องให้ยุคนั้นเป็นยุคแห่งความสงบสุข”

นิทานที่เขาเล่าคือเรื่องราวของจักรพรรดิไท่จงหลี่ซื่อหมินและเว่ยเจิง ฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยขุนนางคนสำคัญของราชวงศ์หมิง การคัดค้านของเว่ยเจิง การคิดวางแผนและตัดสินใจของฝางเสวียนหลิงและตู้หรูฮุ่ยได้นำพาราชวงศ์ถังก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่

ราชวงศ์ถังมิได้มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ เมื่อเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ได้ฟัง พวกเขาตีความเอาเองว่านั่นเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองของต้าเซี่ยที่ฝ่าบาททรงวาดหวังให้มันคงอยู่ตราบชั่วนิจนิรันดร์

“ดังนั้นจักรพรรดิและขุนนางต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จักรพรรดิก็คือคน เขาสามารถกระทำความผิดได้เหมือนปุถุชนทั่วไป ส่วนขุนนางเป็นดั่งกระจก ต้องกล้าสะท้อนความผิด ต้องกล้าเอ่ยถึงความล้มเหลว ความเสื่อมทรามและความผิดพลาดของจักรพรรดิ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)