นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1239

สรุปบท ตอนที่ 1239 เจ็บปางตาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอน ตอนที่ 1239 เจ็บปางตาย จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 1239 เจ็บปางตาย คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 1239 เจ็บปางตาย

ท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิท เมฆหมอกบริเวณหุบเขาอันตรธานหายไปอวดโฉมท้องนภาเปลือยเปล่าจนมองเห็นแสงดาราส่องระยับวับวาว

ทั้งหมู่บ้านชุนเซี่ยตกอยู่ในห้วงภวังค์ความมืดมิด เพราะมิมีบ้านใดจุดคบไฟหรือเทียนให้แสงสว่างเลย

เพิงพักของเยี่ยนซีเหวินตั้งอยู่ตรงกลาง ทว่าเขาก็ยังข่มตานอนมิลงอยู่ดี ภาพของเถี่ยต้านฉายซ้ำวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ข้าวต้มชามนั้นมิได้มีค่าอันใดในสายตาของเขาเลย ทว่ามันกลับเป็นสิ่งที่เด็กน้อยคนนั้นถวิลหาแม้ในยามหลับฝัน

เขาลุกขึ้นมา พลางเดินไปนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาเงยหน้ามองดวงดาราบนฟากฟ้า

เขายังจำได้ติดตรึงว่าในสมัยราชวงศ์หยู ตนเคยเป็นนายอำเภอของเขตเหยามาก่อน

เขตเหยาอยู่ภายใต้การปกครองของหลินเจียง เป็นเมืองที่ผู้คนค่อนข้างมีอันจะกิน

ตอนนั้นราษฎรที่นั่นถวิลหาสิ่งใดกัน ?

ขอเพียงแค่มีข้าวกินจนอิ่มท้อง ถ้าหากได้กินเนื้อบ้างทุกสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ถือว่าดีเกินบรรยายแล้ว

ตั้งแต่ที่ฟู่เสี่ยวกวนดำเนินนโยบายการค้าคู่การเกษตร ได้มีการพัฒนาด้านการค้าขนานใหญ่ที่เขตเหยา ชาวนามากมายจับคันไถทำนา ส่วนอีกมากมายก็เข้าไปทำงานในโรงงาน ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นราษฎรที่เขตเหยาจึงอยู่อย่างมีความสุข ตนเองเคยได้ยินลูกพี่ลูกน้องเยี่ยนหลินชิวเอ่ยว่า ปีนั้นราษฎรที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้สองแห่งนี้ต่างอดมื้อกินมื้อ อย่าว่าแต่ข้าวเลย แค่ซุปผักที่หาได้ตามธรรมชาติก็ยังมิค่อยตกลงถึงท้อง

ความทุกข์ยากลำบากได้รับการแก้ไขจนหมดสิ้น ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาเปิดโรงงานและเสนอให้มีการปลูกมันเทศในสองอำเภอนั้น

บัดนี้ทั้งอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ต่างก็สลัดความยากจนออกไปได้สำเร็จแล้ว ที่นั่นได้กลายมาเป็นฐานสำหรับการหลอมเหล็กที่สำคัญของต้าเซี่ย ซึ่งแน่นอนว่ายังมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ ประกอบอีกด้วย จากคนจนผู้ยากไร้ในวันนั้นก็ได้มีชีวิตดี ๆ ในทุกวันนี้

แม้ว่าหมู่บ้านเซี่ยซานจะตั้งอยู่ในภูเขาลึก ทว่าเหตุใดถึงมิมีผู้ใดปลูกมันเทศเลย ?

ฟู่เสี่ยวกวนเคยบอกว่ามันเทศมิเลือกสภาพดิน มันสามารถเติบโตได้ในสภาพดินที่เลวร้ายที่สุด

คาดว่าคงเป็นเพราะขุนนางมิอยากเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะกรมคลังมิได้ประชาสัมพันธ์เรื่องมันเทศให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน

พื้นที่เช่นนี้เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมแบบใดกันนะ ?

เรื่องนี้เขาเองก็ยังมิรู้ จำต้องสำรวจที่นี่ไปสักพักก่อนเขาถึงจะคิดออกว่าควรทำเยี่ยงไร

ในขณะที่เยี่ยนซีเหวินกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นั่นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาเห่าดังแว่วมา หลังจากนั้นก็มีคบไฟปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

จางฉีซานขยับเข้ามาข้างกายเยี่ยนซีเหวินครู่ใหญ่แล้ว เขาสะพายปืนสองกระบอกไว้บนหลัง

“เร็วเข้า เร็วเข้าสิ… ไปเรียกซุนเฉวียจื่อมาเร็วเข้าสิ ไปเร็ว ! ” เสียงคนดังแว่วเข้ามา

“ซู่เชิง รีบหน่อย ระวังอย่าล้มล่ะ รีบไปเรียกผู้นำหมู่บ้านมาเตรียมพร้อม…”

ประโยคนี้ทำให้เยี่ยนซีเหวินตื่นตกใจมากยิ่งนัก เขาลุกพรวดขึ้นมาทันใด “เกิดเรื่องแล้วสิ ! ”

“ให้ทหารทุกคนเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา ! ”

“ขอรับ ! ”

จางฉีซานเป่าปากส่งสัญญาณเรียกทหาร หลังจากนั้นเพียงมิกี่อึดใจทหารทั้งสิบกว่าคนก็เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาพร้อมกับติดตั้งอาวุธเสร็จสรรพ

“รีบไปเร็วเข้า เหมือนว่าเขากำลังแบกคนอยู่บนหลัง รีบไปช่วยพวกเขาเถิด ! ”

ทหารทั้งสิบรุดเข้าไป ครู่หนึ่งก็มีเสียงดังแว่วมา “พวกเจ้าเป็นใครกัน ? ”

“ข้าเป็นแขกของผู้นำหมู่บ้าน เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หลี่ตงถูกหมีตาบอดตะบบเข้าน่ะสิ เกรงว่า เกรงว่า…เฮ้อ…”

“ส่งคนเจ็บมาให้ข้า เร็วเข้า ! ”

หนึ่งในทหารแบกหลี่ตงขึ้นหลัง พวกเขารีบวิ่งกลับไปที่ลานบ้านของหลี่เอ้อร์หนิวทันที

เสียงเอะอะข้างนอกทำให้หลี่เอ้อร์หนิวตกใจตื่นขึ้นมา เขานำผ้ามาคลุมไหล่ จากนั้นก็เดินออกมาที่ลานบ้าน ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเหล่าทหารก็วิ่งมาถึงพอดี จางฉีซานได้ปูผ้าเตรียมไว้เอาแล้ว

หลี่เอ้อร์หนิวรีบสาวเท้าเข้าไปดู เขาถลึงตาโตแล้วหยุดหายใจไปชั่วขณะ ใบหน้าพลันซีดเผือด ทว่าเขายังรวบรวมสติแล้วหันไปหาสตรีนางหนึ่งที่กำลังรีบร้อนเข้ามา

“อู๋หง เจ้ามาดูเขาก่อน ข้าจะไปเรียกซุนเฉวียจื่อ”

“มิต้องทะเลาะกัน เรื่องนี้โทษใครมิได้หรอก หากจะโทษก็โทษโชคชะตาเถิด ! ถ้าหากพวกเรามีอาหารกิน พวกเราก็มิจำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงตายกับหมีหรอก ! ”

“หลีกทางหน่อย… ! ”

จางฉีซานพาทหารสองคน นำอุปกรณ์สำหรับผ่าตัดในสนาบรบเข้ามา

หนึ่งในชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงนพลางเอ่ยถาม “พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ? ”

“พวกข้ามาจากนอกเขา หลีกหน่อย ข้าจะทำแผลให้เขา”

“เจ้าอย่ามารักษามั่วซั่ว รอให้ซุนเฉวียจื่อมาถึงก่อนจะดีกว่า ที่หมู่บ้านของเรามีเพียงเขาเท่านั้นแหละที่รู้วิธีการรักษา ถ้าเกิดเจ้าทำให้หลี่ตงตายขึ้นมาล่ะก็…”

จางฉีซานชะงักงัน จากนั้นก็หันไปหาเยี่ยนซีเหวิน

เยี่ยนซีเหวินจึงหันไปหาหญิงสาวนางนั้น “เขาเป็นสามีของเจ้าหรือ ? ”

“อืม…” หญิงสาวพยักหน้าพลางสะอื้นไห้

“บัดนี้สามีของเจ้าตกอยู่ในอันตราย คนของข้าอาจจะช่วยเขาได้ แค่อาจจะช่วยได้เท่านั้น ข้าขอรับประกันว่าฝีมือของเขาดีกว่าซุนเฉวียจื่อแน่นอน เจ้าอยากจะลองดูสักตั้งหรือไม่ ? ”

อู๋หงรู้สึกลังเล เพราะนางมิเคยเห็นคนพวกนี้มาก่อน แล้วนางจะไว้ใจมอบชีวิตของสามีให้คนพวกนี้รักษาได้เยี่ยงไรกัน ?

“สามีของเจ้าเลือดไหลมิหยุด ถ้าหากล่าช้าไปมากกว่านี้ข้าเกรงว่าเทพเจ้าองค์ใดก็คงยื้อชีวิตเขากลับมามิได้อีกแล้ว ให้พวกเขาลงมือเสียตั้งแต่ตอนนี้เถิด”

อู๋หงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พยักหน้า “ขอบคุณพวกเจ้ายิ่งนัก ! ”

“พี่สะใภ้ เจ้าไว้ใจให้คนต่างถิ่นรักษาเขาได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“พี่สะใภ้ รอซุนเฉวียจื่อดีกว่านะ เมื่อเขามาดูอาการของพี่ตงแล้ว เขาย่อมจ่ายยาสมุนไพรให้ดื่มรักษาตัว อีกมิกี่วันก็คงหายดี ! ”

“หากต้องรอจนกว่าซุนเฉวียจื่อจะมาถึง ไหนจะต้องต้มยาอีก สามีของข้าคงตายพอดี พวกเจ้าอย่าเอ่ยอันใดให้มากความ ข้าตัดสินใจแล้ว”

นางลุกขึ้นยืนพลางคารวะจางฉีซาน “ขอบคุณพวกท่านมากยิ่งนัก ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)