ตอนที่ 1239 เจ็บปางตาย
ท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิท เมฆหมอกบริเวณหุบเขาอันตรธานหายไปอวดโฉมท้องนภาเปลือยเปล่าจนมองเห็นแสงดาราส่องระยับวับวาว
ทั้งหมู่บ้านชุนเซี่ยตกอยู่ในห้วงภวังค์ความมืดมิด เพราะมิมีบ้านใดจุดคบไฟหรือเทียนให้แสงสว่างเลย
เพิงพักของเยี่ยนซีเหวินตั้งอยู่ตรงกลาง ทว่าเขาก็ยังข่มตานอนมิลงอยู่ดี ภาพของเถี่ยต้านฉายซ้ำวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ข้าวต้มชามนั้นมิได้มีค่าอันใดในสายตาของเขาเลย ทว่ามันกลับเป็นสิ่งที่เด็กน้อยคนนั้นถวิลหาแม้ในยามหลับฝัน
เขาลุกขึ้นมา พลางเดินไปนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาเงยหน้ามองดวงดาราบนฟากฟ้า
เขายังจำได้ติดตรึงว่าในสมัยราชวงศ์หยู ตนเคยเป็นนายอำเภอของเขตเหยามาก่อน
เขตเหยาอยู่ภายใต้การปกครองของหลินเจียง เป็นเมืองที่ผู้คนค่อนข้างมีอันจะกิน
ตอนนั้นราษฎรที่นั่นถวิลหาสิ่งใดกัน ?
ขอเพียงแค่มีข้าวกินจนอิ่มท้อง ถ้าหากได้กินเนื้อบ้างทุกสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ถือว่าดีเกินบรรยายแล้ว
ตั้งแต่ที่ฟู่เสี่ยวกวนดำเนินนโยบายการค้าคู่การเกษตร ได้มีการพัฒนาด้านการค้าขนานใหญ่ที่เขตเหยา ชาวนามากมายจับคันไถทำนา ส่วนอีกมากมายก็เข้าไปทำงานในโรงงาน ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นราษฎรที่เขตเหยาจึงอยู่อย่างมีความสุข ตนเองเคยได้ยินลูกพี่ลูกน้องเยี่ยนหลินชิวเอ่ยว่า ปีนั้นราษฎรที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้สองแห่งนี้ต่างอดมื้อกินมื้อ อย่าว่าแต่ข้าวเลย แค่ซุปผักที่หาได้ตามธรรมชาติก็ยังมิค่อยตกลงถึงท้อง
ความทุกข์ยากลำบากได้รับการแก้ไขจนหมดสิ้น ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาเปิดโรงงานและเสนอให้มีการปลูกมันเทศในสองอำเภอนั้น
บัดนี้ทั้งอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ต่างก็สลัดความยากจนออกไปได้สำเร็จแล้ว ที่นั่นได้กลายมาเป็นฐานสำหรับการหลอมเหล็กที่สำคัญของต้าเซี่ย ซึ่งแน่นอนว่ายังมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ ประกอบอีกด้วย จากคนจนผู้ยากไร้ในวันนั้นก็ได้มีชีวิตดี ๆ ในทุกวันนี้
แม้ว่าหมู่บ้านเซี่ยซานจะตั้งอยู่ในภูเขาลึก ทว่าเหตุใดถึงมิมีผู้ใดปลูกมันเทศเลย ?
ฟู่เสี่ยวกวนเคยบอกว่ามันเทศมิเลือกสภาพดิน มันสามารถเติบโตได้ในสภาพดินที่เลวร้ายที่สุด
คาดว่าคงเป็นเพราะขุนนางมิอยากเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะกรมคลังมิได้ประชาสัมพันธ์เรื่องมันเทศให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน
พื้นที่เช่นนี้เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมแบบใดกันนะ ?
เรื่องนี้เขาเองก็ยังมิรู้ จำต้องสำรวจที่นี่ไปสักพักก่อนเขาถึงจะคิดออกว่าควรทำเยี่ยงไร
ในขณะที่เยี่ยนซีเหวินกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นั่นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาเห่าดังแว่วมา หลังจากนั้นก็มีคบไฟปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
จางฉีซานขยับเข้ามาข้างกายเยี่ยนซีเหวินครู่ใหญ่แล้ว เขาสะพายปืนสองกระบอกไว้บนหลัง
“เร็วเข้า เร็วเข้าสิ… ไปเรียกซุนเฉวียจื่อมาเร็วเข้าสิ ไปเร็ว ! ” เสียงคนดังแว่วเข้ามา
“ซู่เชิง รีบหน่อย ระวังอย่าล้มล่ะ รีบไปเรียกผู้นำหมู่บ้านมาเตรียมพร้อม…”
ประโยคนี้ทำให้เยี่ยนซีเหวินตื่นตกใจมากยิ่งนัก เขาลุกพรวดขึ้นมาทันใด “เกิดเรื่องแล้วสิ ! ”
“ให้ทหารทุกคนเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา ! ”
“ขอรับ ! ”
จางฉีซานเป่าปากส่งสัญญาณเรียกทหาร หลังจากนั้นเพียงมิกี่อึดใจทหารทั้งสิบกว่าคนก็เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาพร้อมกับติดตั้งอาวุธเสร็จสรรพ
“รีบไปเร็วเข้า เหมือนว่าเขากำลังแบกคนอยู่บนหลัง รีบไปช่วยพวกเขาเถิด ! ”
ทหารทั้งสิบรุดเข้าไป ครู่หนึ่งก็มีเสียงดังแว่วมา “พวกเจ้าเป็นใครกัน ? ”
“ข้าเป็นแขกของผู้นำหมู่บ้าน เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หลี่ตงถูกหมีตาบอดตะบบเข้าน่ะสิ เกรงว่า เกรงว่า…เฮ้อ…”
“ส่งคนเจ็บมาให้ข้า เร็วเข้า ! ”
หนึ่งในทหารแบกหลี่ตงขึ้นหลัง พวกเขารีบวิ่งกลับไปที่ลานบ้านของหลี่เอ้อร์หนิวทันที
เสียงเอะอะข้างนอกทำให้หลี่เอ้อร์หนิวตกใจตื่นขึ้นมา เขานำผ้ามาคลุมไหล่ จากนั้นก็เดินออกมาที่ลานบ้าน ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเหล่าทหารก็วิ่งมาถึงพอดี จางฉีซานได้ปูผ้าเตรียมไว้เอาแล้ว
หลี่เอ้อร์หนิวรีบสาวเท้าเข้าไปดู เขาถลึงตาโตแล้วหยุดหายใจไปชั่วขณะ ใบหน้าพลันซีดเผือด ทว่าเขายังรวบรวมสติแล้วหันไปหาสตรีนางหนึ่งที่กำลังรีบร้อนเข้ามา
“อู๋หง เจ้ามาดูเขาก่อน ข้าจะไปเรียกซุนเฉวียจื่อ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)