สายฝนยามวสันตฤดูกระหน่ำเทลงมามิขาดสาย ความหนาวเหน็บทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวจับใจ ชวนให้รู้สึกใจสลาย
เหวินสิงโจวจากไปแล้ว เขามิได้นำของที่หลิวจิ่นมอบให้กลับไปด้วย
ทิ้งให้อู๋เทียนซื่อนั่งอยู่หน้าโต๊ะชาเพียงลำพัง สายตาของเขาจ้องมองไปยังถ้วยชาที่เย็นชืดของเหวินสิงโจว
เขารู้สึกสับสนมากยิ่งนัก
“หลิวจิ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจิ้น…เจิ้นทำผิดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลิวจิ่นเอ่ยมิออก เขารีบโน้มกายลง มิกล้าปริปากเอ่ยสิ่งใดออกไป ผู้ใดจะกล้ากล่าวว่าฝ่าบาททำผิดเล่า ?
ถ้าหากหลิวจิ่นเอ่ยออกมาตามตรงก็เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงรับสั่งให้ทหารนำตัวเขาไปตัดศีรษะทันที !
“เจิ้นรู้สึกแปลกใจมากยิ่งนัก เหตุใดเสด็จพ่อถึงคิดว่าคนเราต้องเท่าเทียมกัน ? มันเท่าเทียมกันได้จริง ๆ หรือ ? ”
“เจิ้นมีเชื้อสายราชวงศ์ ใช้ชีวิตในความหรูหรามาตั้งแต่กำเนิด ส่วนชาวนาพวกนั้นเกิดในครอบครัวเกษตร ชีวิตคลุกฝุ่นเปื้อนโคลนมาตั้งแต่ยังเยาว์ นี่นับว่าเท่าเทียมกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่าง…เจิ้นเป็นถึงจักรพรรดิ ! เป็นจักรพรรดิหนึ่งเดียวของต้าเซี่ย มีประชากรภายใต้การปกครองมากถึงห้าร้อยล้านคน นี่จะให้เท่าเทียมกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร ? ”
“แม้เพียงคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักปราชญ์ได้ และกลายเป็นเหยาซุ่นได้ ! คนธรรมดามีมากมายนับหมื่นแสน มีผู้ใดบ้างที่จะเป็นนักปราชญ์หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้จริง ๆ ? ”
“เจิ้นรับเงินของท่าป๋าหวังมาห้าสิบล้านตำลึง ท่าป๋าหวังคือขุนนางของเจิ้น การที่เขาถวายของกำนัลให้เจิ้นนั้นเป็นเรื่องผิดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่างเจิ้นก็มิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ในเมื่อรับเงินของท่าป๋าหวังมาแล้ว เช่นนั้นการที่เจิ้นจะปล่อยตัวคน ๆ หนึ่งซึ่งมิได้ทำความผิดอันใดใหญ่หลวงนัก…เป็นเรื่องผิดมากเลยหรือ พวกเขาต้องการบีบบังคับให้เจิ้นล้มเลิกใช่หรือไม่ ? ”
อู๋เทียนซื่อหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา รูม่านตาของเขาหดลง “พวกเขาถึงกับไปเชิญท่านอาจารย์ของข้า พวกเขาคงพยายามทำทุกวิถีทางแล้วสินะ”
“ช่างเถิด ! ครานี้เจิ้นจะเห็นแก่ท่านอาจารย์…เจ้าไปนำโครงร่างถนนฉบับนั้นเข้ามาสิ ! มิต้องให้พวกเยี่ยนซีเหวินมาที่ห้องทรงพระอักษร เจิ้น…เจิ้นมิอยากพบหน้าพวกเขา”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
……
……
เมื่อเหวินสิงโจวออกโรงด้วยตนเอง ฝ่าบาทจึงยอมถอยให้หนึ่งก้าว
ทว่าผลกระทบของเรื่องนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นก็เท่านั้น
เดิมทีฝ่าบาทควรจะสนิทสนมกับเสนาบดีทั้งสามฝ่ายมากที่สุด มิควรทำตัวห่างเหิน ทว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ฝ่าบาทก็มิเรียกเสนาบดีคนใดมาเข้าเฝ้าอีกเลย
แม้ว่าพวกเขาอยากจะมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่กลับถูกทหารรักษาการณ์สกัดเอาไว้ทุกครา
ความมิลงรอยกันระหว่างจักรพรรดิและขุนนางเป็นดั่งหุบเหวลึก พวกเยี่ยนซีเหวินมิอาจก้ามข้ามไปได้ ส่วนอู๋เทียนซื่อก็มิยอมข้ามมาหาพวกเขาเช่นกัน
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น จึงต้องสื่อสารกันผ่านหลิวจิ่น ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือ…หน่วยพระราชวังชั้นใน !
ซึ่งหมายถึงราชสำนักภายในพระราชวังนั่นเอง !
หลิวจิ่นถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลสูงสุดผนวกกับตำแหน่งขันที โดยมีหน้าที่รับผิดชอบหนังสือราชการทั้งจากภายในและภายนอกพระราชวัง
ส่วนเสนาบดีทั้งสามฝ่ายและคณะรัฐมนตรีต่างก็ถูกเรียกขานว่าเป็นหน่วยพระราชวังชั้นนอกเหมือนกันทั้งหมด
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนพาภรรยาทั้งหมดของเขาจากไป ทำให้ตำหนักหลายหลังยังว่างเว้นอยู่ อู๋เทียนซื่อจึงมอบตำหนักที่ใกล้กับตำหนักหยางซินมากที่สุดให้กับพวกหลิวจิ่น โดยให้ใช้ตำหนักเหล่านั้นเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของหน่วยพระราชวังชั้นใน
เขาเป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งหนึ่งฉั่งและสิบสองเจี้ยนขึ้นมา
หนึ่งฉั่งก็คือเน่ยฉั่งซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลภายในทั้งหมด
สิบสองเจี้ยนคือราชสำนักขนาดย่อม ซึ่งมีความสอดคล้องกับหน่วยงาน 24 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของสามสำนักหกกรม
ทั้งสิบสองเจี้ยนย่อมมีชื่อเรียกเป็นของตนเอง ตำแหน่งขุนนางเรียกว่าเจียนเจิ้ง ทว่าขุนนางของเน่ยฉั่งจะถูกเรียกว่าฉั่งกง
หลิวจิ่นในฐานะผู้ดูแลสูงสุดของหน่วยพระราชวังชั้นใน เขาจำต้องดูแลทั้งหนึ่งฉั่งและสิบสองเจี้ยน
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันทั่วทั้งราชสำนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)