ตอนที่ 1308 คลาดเคลื่อน
เหตุการณ์ด้านนอกชนเผ่าซูลีได้ล่วงเลยไปแล้วสิบวัน
ในระยะเวลาสิบวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้นำกองทัพนาวิกโยธิน 10,000 นายไปลาดตระเวนหลายพื้นที่ และผู้ที่นำทางครานี้ก็คือซูเกต์ชินหญิงสาวจากชนเผ่าซูลีนั่นเอง
พวกเขาเดินทางไปเยี่ยมเยือนอีกเจ็ดชนเผ่าทีเหลือ ภายใต้การชักชวนของซูเกต์ชิน ผนวกกับข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วว่าชนเผ่าวาตูถูกเทพเจ้าลงโทษ ทำให้พวกเขาต่างยอมศิโรราบแทบเท้าของฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียน
ฟู่เสี่ยวกวนได้กำหนดให้ก่อตั้งอิงเทียนขึ้นบริเวณคีวาจาย สถานที่ส่วนกลางของแปดชนเผ่านั่นเอง
“นี่เป็นทำเลที่ดียิ่งนัก เสี่ยวไป๋ เจ้าดูนี่สิ ที่นี่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ห่างจากท่าเรือราว 30 ลี้เท่านั้น”
“ที่นี่มีทะเลสาบน้ำจืด ทั้งยังสามารถกระจายอำนาจไปยังแปดชนเผ่าที่เหลือได้อย่างพอดิบพอดี”
เมื่อกลับมาถึงเพิงพักซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล ฟู่เสี่ยวกวนได้นำแผนที่ที่หน่วยลาดตระเวนจัดทำขึ้นมากางบนโต๊ะ เขาสังเกตทุกรายละเอียด “รอบ ๆ สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่ราบทั้งสิ้น 1,000 ลี้ ซึ่งเพียงพอต่อการก่อสร้างสถาปัตยกรรมและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของอิงเทียน”
“พรุ่งนี้เจ้าลองพาช่างไปที่นี่สิ ในระยะเวลาสองปีหลังจากนี้ ข้าหวังว่าหลังจากที่ข้ากลับมาจากยุโรปเมื่อใด ข้าจะได้เห็นเมืองอันแข็งแกร่งผุดขึ้นมาบนภาคพื้นทวีปแห่งนี้ ! ”
“รับทราบ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนรู้สึกยินดีมากเช่นกัน เพราะถือว่าเรื่องนี้ถูกแก้ไขจนสำเร็จแล้ว ที่สำคัญคือพวกเขาได้เอาชนะชาวเมืองทั้งหมดสามแสนคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่ายังมิสามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะเขามิรู้ว่าหญิงสาวที่นามว่าซูเกต์ชินผู้นั้นบอกอันใดกับชาวเผ่าเหล่านั้นกันแน่
ซูเกต์ชินก็อยู่ในเพิงพักของแม่ทัพเช่นเดียวกัน ช่วงนี้นางมักจะตามไป๋ยู่เหลียนไปทุกแห่ง และเหมือนนางจะรู้ด้วยตนเองว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอีกคนหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าชายหนุ่มผู้นี้ ทว่านางก็ยังตัวติดกับชายหนุ่มผู้นี้อยู่เช่นเคย
นางได้เห็นกระโจมที่วางเรียงรายเป็นแถว ซึ่งมิรู้ว่าทำมาจากอันใดกันแน่ นางได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะที่ยากจะอธิบาย ทำให้นางยิ่งเชื่อมั่นว่าคนพวกนี้จะต้องเป็นเทพเจ้าแน่ ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเรือรบขนาดใหญ่ยักษ์ที่จอดอยู่ริมชายฝั่งทะเล
เมื่อนางได้เห็นบรรดาสนมที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยอาภรณ์หรูหรา นางก็ได้รู้ว่าเทพเจ้าองค์ที่มีอำนาจมากกว่านั้นได้นำภรรยาของพระองค์มาด้วย
ทว่าเทพเจ้ารูปงามอีกองค์ ดูเหมือนจะมาคนเดียว
ซูเกต์ชินจ้องมองไป๋ยู่เหลียนด้วยสายตาเร่าร้อนถวิลหา ฟู่เสี่ยวกวนสังเกตเห็นสายตาของนางเช่นกัน
เขาจึงหันไปหัวเราะเหอะ ๆ เเล้วทุบกำปั้นบนร่างของไป๋ยู่เหลียน “ดูเหมือนว่านางจะชอบเจ้าเข้าแล้วสิท่า ? ”
ไป๋ยู่เหลียนหน้าแดงเรื่อ “เจ้าเอ่ยอันใดกัน ? มิมีเรื่องอย่างว่าสักหน่อย ! ”
“เรื่องนี้ข้ารู้ดีกว่าตัวเจ้าแน่ ๆ เสี่ยวไป๋ ถือว่าเห็นแก่ความมานะอุตสาหะของนางตลอดหลายวันมานี้ หากเจ้ารู้สึกชอบพอในตัวนางก็คว้านางมาครอบครองเสีย”
“ซึ่งมันก็มีข้อดีหลายอย่าง ประเดี๋ยวข้าจะสาธยายให้เจ้าฟังเอง”
“ประการแรก เจ้าควรจะมีครอบครัวและมีทายาทสืบตระกูลได้แล้ว เช่นนี้ข้าจะได้สบายใจขึ้นมาหน่อย ประการที่สองนางดูเหมือนจะมีฐานะท่ามกลางชนเผ่าเหล่านั้น ซึ่งมันจะเป็นผลดีต่อการใช้แรงงานในการก่อสร้างอิงเทียนในภายภาคหน้า”
“ประการที่สาม ช่วงฤดูหนาวที่นี่อากาศจะเย็นยะเยือก หากมีสตรีไว้โอบกอดก็คงจะนอนหลับสบายมิน้อย”
“อ้อ…จริงสิ ! ในเรื่องของภาษา ภายภาคหน้าให้ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้เรียนรู้ภาษาต้าเซี่ยของเราเสีย ข้าคิดว่าหญิงสาวผู้นี้ฉลาดยิ่งนัก เช่นนั้นก็ให้นางเรียนกับเจ้าก่อนก็แล้วกัน”
ไป๋ยู่เหลียนนอนมิหลับในราตรีนั้น
เขาใกล้จะย่างเข้าวัยสี่สิบเต็มที เหตุเพราะยุ่งเรื่องงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เขามิมีเวลาคิดถึงเรื่องของตนเองเลย
ทุกวันนี้ได้ย้ายมาอาศัยต่างถิ่นต่างแดน ผนวกกับสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยมาทั้งหมด ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาสักที
เพียงแต่ว่า… แต่ว่าการแต่งงานกับหญิงสาวชาวพื้นเมือง จะได้ลิ้มลองรสชาติที่แปลกใหม่อย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจริง ๆ หรือ ?
ไป๋ยู่เหลียนมิอาจล่วงรู้ข้อนี้ได้
ซูเกต์ชินที่กลับชนเผ่าซูลีไปแล้วนั้นก็มิรู้เช่นกัน
นางนั่งอยู่ริมกองไฟ และกำลังบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาให้ผู้เป็นปู่ฟัง
“จำต้องเรียนรู้ภาษาของเทพเจ้า พวกเราถึงจะสื่อสารกับพระองค์ได้ ซูเกต์ชินเอ๋ย เจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในหมู่บ้าน ปู่หวังว่าเจ้าจะเรียนรู้ภาษาของพวกเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น จากนั้นก็นำมาถ่ายทอดให้ชาวชนเผ่าของเรา คงมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้ชนเผ่าของเราค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)