ตอนที่ 1361 หิมะแรกในรอบหกปีของต้าเซี่ย
รัชสมัยต้าเซี่ยที่หก เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบสาม
ท้องนภาในเมืองฉางอันอึมครึมอยู่นานถึงสามวัน จนในที่สุดก็มีหิมะตกลงมาในช่วงค่ำ
เสนาบดีกรมคลังหยุนซีเหยียนเดินลงมาจากรถม้าพลางเงยหน้ามองเกล็ดหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาภายใต้โคมไฟสีแดง
โหยวซีเฟิ่งเดินมาจากเรือน จากนั้นก็ปัดเกล็ดหิมะบนบ่าของหยุนซีเหยียนออก พลางเหล่มองเขาพร้อมกับบ่นพึมพำว่า “นี่ก็ค่ำมืดแล้ว เหตุใดถึงกลับช้าลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน ? เจ้ายุ่งจริง ๆ หรือ ? ท่านพ่อตาแม่ยายเดินทางมาถึงเมืองฉางอันได้ครึ่งเดือนแล้ว เจ้ามิมีเวลาอยู่สนทนากับท่านบ้างเลย”
“อีกประเดี๋ยวก็ปลายปีแล้วมิใช่หรือ ? ” หยุนซีเหยียนฉีกยิ้มร่า
“กรมคลังยุ่งตลอดทั้งปี พอยิ่งปลายปีจึงยิ่งยุ่งวุ่นวายมากกว่าเดิม”
“รายงานบัญชีที่แต่ละท้องถิ่นส่งเข้ามาจำต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกครา ช่วงนี้เจ้าเยี่ยนซีเหวินมักจะเร่งอยู่เรื่อย ทั้งสามแผนกเร่งเร้าที่จะทราบรายได้และรายจ่ายของปีนี้ เพราะเยี่ยงไรเสียแผนการใช้งบประมาณของปีหน้าขึ้นอยู่กับผลกำไรหรือขาดทุนของปีนี้”
“แล้วสรุปได้กำไรหรือขาดทุนเล่า ? ”
โหยวซีเฟิ่งยกยิ้มขึ้นแล้วตอบคำถามของตนเอง ทั้งยังเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ก็ต้องได้กำไรอยู่แล้วสินะ เมื่อสองวันก่อนข้าเพิ่งกินข้าวกับโจ่งหยูมิใช่หรือ ? ”
สองสามีภรรยาเดินจูงมือกันไปตามทางเดิน ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัก “นางเอ่ยว่าทุกวันนี้นางได้เปิดร้านเย็บปักถักร้อยที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์ ทุกวันนี้ที่นั่นเจริญงอกงามยิ่ง จะทำมาค้าขายอันใดก็รุ่งเรือง แต่ละปีทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ”
หยุนซีเหยียนก้าวเข้าไปในเรือนหลัก โหยวซีเฟิ่งช่วยเขาถอดชุดขุนนางออก “นางกล่าวว่านางเปิดร้านที่เมืองอาเรียสองแห่งด้วยกัน นอกจากนี้ก็ยังได้เปิดสาขาในสามแคว้นของแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ด้วย”
“มิทราบว่าจะยุ่งวุ่นวายเพียงใดกันเชียว”
หยุนซีเยียนเอ่ยถามต่อว่า “นี่ก็ใกล้ช่วงปีใหม่แล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีสุดสำหรับการค้าขาย เหตุใดนางถึงกลับมาเล่า ? ”
โหยวซีเฟิงนำชุดขุนนางของหยุนซีเหยียนมาแขวนเอาไว้ จากนั้นก็ตอบว่า “นางกล่าวว่าพ่อตาของนางอายุมากแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ท่านพ่อตาระหกระเหินอยู่ข้างนอก เกรงว่าร่างกายของเขาจะรับมิไหว เขาอาศัยอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์มาสามปีเต็มย่อมคิดถึงบ้านเกิดเป็นธรรมดา อีกอย่างลูกของนางก็ต้องศึกษาร่ำเรียน ดังนั้นนางจึงกลับมาที่ฉางอัน”
“แล้วธุรกิจของนางเล่าจะทำเยี่ยงไร ? ”
“นางได้เชิญผู้จัดการหลายคนมาดูแล ทั้งยังบอกว่าทุกวันนี้ธุรกิจเริ่มเข้าร่องเข้ารอยแล้ว ผู้จัดการเหล่านี้ติดตามพ่อตาของนางมานานหลายปี สามารถวางใจได้…”
โหยวซีเฟิงหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าคิดว่า…นางคงอยากกลับมาเต็มทนแล้วเช่นกัน เพราะซานเตาถูกฝังไว้บนภูเขาหานซานนอกเมืองกวนหยุน สามปีมานี้ยุ่งวุ่นวายกับการเดินทางไปทั่ว จนมิมีเวลาเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หลุมศพของซานเตาเลย นางคงอยากเดินทางไปยังเมืองกวนหยุนอีกสักครา”
หยุนซีเหยียนเงยหน้าขึ้นมองนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตลอดสามปีมานี้ข้าก็มิมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเมืองกวนหยุนเช่นกัน ซานเตาชื่นชอบความครึกครื้นสนุกสนาน เฮ้อ…เรื่องที่บุตรของโจ่งหยูจะเข้าเรียน เจ้าช่วยนางจัดการสักหน่อย ให้เรียนในสำนักศึกษาชิงเหลียนก็แล้วกัน”
“อืม…จริงสิ ! ยามเว่ยของวันนี้ซือหม่าเทาได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนที่จวน กล่าวว่าวันนี้เหล่าสหายได้กลับมาเยือนฉางอันกันมากหน้าหลายตาเช่นหลู่ซีฮุ่นและโจ่งจี้ถัง เขาเอ่ยว่าถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างก็ส่งจดหมายไปให้เขาสักหน่อย เพื่อหาโอกาสมาดื่มสุราด้วยกัน…”
เมื่อกล่าวจบโหยวซีเฟิ่งพลันถลึงตาใส่หยุนซีเหยียนหนึ่งครา “สุราอย่าดื่มให้มันเยอะนักเล่า ดูพุงของเจ้าสิ นับวันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ! ”
หยุนซีเหยียนหัวเราะน้อย ๆ สีหน้าของเขาเผยความรู้สึกดีใจออกมาอย่างชัดเจน
หลายปีมานี้ สหายที่มาจากเมืองจินหลิงนั้นต่างก็กระจายไปทำภารกิจของตนเองทั่วทุกสารทิศ พวกเขามิได้รวมตัวกันมาสองสามปีแล้ว
พวกเขาคว้าช่วงเวลาแห่งการพัฒนาของต้าเซี่ยได้พอดี ทำให้ธุรกิจของแต่ละคนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
พวกเขาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ในขณะเดียวกันได้จ่ายภาษีให้แก่ต้าเซี่ยจำนวนมหาศาล
ต้าเซี่ยในตอนนี้ได้ดำเนินนโยบายการค้าคู่การเกษตรที่ฟู่เสี่ยวกวนผลักดันในตอนนั้นให้เกิดขึ้นจริงแล้ว ฐานะของพ่อค้าถูกยกระดับขึ้นมาอย่างมิทันตั้งตัว บัดนี้มิมีผู้ใดดูแคลนพ่อค้ากันแล้ว กระทั่งมีผู้คนมากมายเข้ามาเอาดีด้านการค้าด้วยซ้ำไป
ส่วนด้านการเกษตร เป็นเพราะการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในช่วงหลายปีมานี้ กอปรกับการพัฒนาเครื่องมือทางการเกษตร ทำให้การปลูกข้าวทำนาของเกษตรกรสะดวกสบายกว่าเดิม และผลผลิตก็สูงมากขึ้นเป็นประวัติการณ์
นี่เป็นยุคสมัยที่ดีที่สุด
เป็นยุคสมัยที่หยุนซีเหยียนในอดีตมิอาจจินตนาการถึงได้
ถ้าหากว่ามิได้บังเอิญพบเจอฟู่เสี่ยวกวนในเมืองจินหลิงตอนนั้น บัดนี้ตนจะมีชีวิตเป็นเยี่ยงไรกัน ?
“ที่พุงใหญ่ขึ้น มิใช่เพราะสุราหรอกนะ เจ้าลองคิดดูเถิดว่าข้ามีเวลาไปสังสรรค์เสียที่ไหนกัน ? ”
“เมื่ออยู่ดีกินดี ชีวิตก็ยิ่งมีอรรถรสและไร้ซึ่งความกังวลมากขึ้น ดังนั้นคนเราย่อมอ้วนท้วนขึ้นเป็นธรรมดา…”
ยังมิทันสิ้นเสียงของหยุนซีเหยียน พ่อบ้านประจำจวนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาโน้มกายลงแล้วเอ่ยว่า “นายท่านขอรับ ท่านเสนาบดีเยี่ยนได้ส่งคนมาเชิญท่านไปเยือนจวนตระกูลเยี่ยนขอรับ”
“เขาบอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด ? ” หยุนซีเหยียนผงะ
“กล่าวว่าขอเชิญนายท่านไปดื่มสุราสักสองสามจอกขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)