“หลังจากนั้นล่ะ”
ซูซูมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางตกตะลึง “ไม่มีต่อจากนี้แล้ว พวกเขาสองคนตายแล้ว”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงผู้สังหารไปไหนแล้ว?”
“อ่อ เขาไปในเขาแห่งนั้น แต่ข้าไม่ได้เข้าใกล้เขานั้น เนื่องจากที่นั่นมียอดฝีมือ”
ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจอย่างมาก “ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าในเขานั้นมียอดฝีมือ?”
ซูซูมองฟู่เสี่ยวกวนราวกับมองคนปัญญาอ่อน ปากเล็ก ๆ เหยียดออก “ข้าเข้าใจภาษานก”
“……”
จะคุยกันรู้เรื่องไหมแบบนี้ ?
“เจ้าไม่เชื่อหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิเชื่อ ซูซูเลิกคิ้วสูง กินผลไม้เคลือบน้ำตาลของนางต่อไป แล้วพูดพึมพำว่า “ความสามารถของข้าก็มีมากมาย อย่าคิดว่าเจ้าสามารถแต่งบทกลอนบทกวีได้ก็เก่งกาจนักหนาแล้ว !”
ซูโหรวเงยหน้าขึ้น ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน คล้ายกับยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น “น้องหกเข้าใจภาษานกจริง ๆ ”
“งั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่านกพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
ซูซูหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าช่างโง่จริงเชียว !”
ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าประโยคที่ตนถามนั้นช่างโง่เง่าจริงด้วย เขาลูบจมูกไปมา เดินไปที่ศาลาเถาหรานแล้วนั่งลง แต่กลับได้ยินซูซูพูดอีกว่า “นกกระจอกน้อยตัวหนึ่ง มันบอกว่าห้ามเข้าไปในเขานั้น มีกลิ่นอายการฆ่ารุนแรงมาก รีบหนีไป…..ดังนั้นข้าก็เลยวิ่งหนีมา”
ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!
ตอนนี้เองซูเจวี๋ยก็เดินออกมา เขาจัดหมวกไปมาให้ดี แล้วพูดขึ้นว่า “ที่น้องหกพูดนั้นถูกต้องแล้ว เขาจื่อจินนั้นเมื่อก่อนข้าก็เคยไปซุ่มดูอยู่เช่นกัน ในนั้นมียอดฝีมือจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ ในเมื่อซูเจวี๋ยบอกว่ามียอมฝีมือ งั้นก็ต้องมีแน่นอน ซูเจวี๋ยน่าเชื่อถือกว่าซูซูหลายเท่าเลย
“เก่งแค่ไหน ?”
“อย่างน้อยก็ขั้นที่หนึ่ง อาจจะเป็นกึ่งเทพด้วยซ้ำ”
ห๊ะ นี่มันเก่งเกินไปแล้ว “งั้นเจ้าเก่งแค่ไหน[1]” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่ซูเจวี๋ยแล้วถามประโยคนี้
“ข้าหรือ? ข้าต่ำมาก”
ซูซูหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่ง ไพเราะเสนาะหู น่าฟังมาก
“เยี่ยงนี้มิใช่ว่าการสำรวจเขาจื่อจินก็จะยากมากหรือ?”
“นอกจากเจ้าจะมีลายลักษณ์อักษรของฝ่าบาท หรือช่วงเทศกาลจงหยวนที่จะมีการไหว้บรรพบุรุษของราชวงศ์หยูทุกปี ซึ่งเจ้าสามารถติดตามฝ่าบาทไปได้ มิเช่นนั้น……ก็มีเพียงท่านอาจารย์เท่านั้นที่จะสามารถลอบขึ้นไปได้โดยไม่รบกวนฝีมือผู้นั้น”
แย่มาก ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะต้องหยุดไว้แค่นี้ก่อน
เขาไม่ใช่สายเลือดของราชวงศ์ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะขอร้องให้ฝ่าบาทมีราชโองการให้ไปสำรวจสุสานของราชวงศ์ด้วย เช่นนั้นก็รอดูช่วงเทศกาลจงหยวนว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปที่นั่นหรือไม่
ซูเจวี๋ยส่งกระดาษให้ฟู่เสี่ยวกวนแผ่นหนึ่ง แล้วพูดว่า “ผลการตรวจสอบของวัดฟูจื่อออกมาแล้ว ด้านบนนอกจากวัดที่ผุพังแห่งนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก”
ฟู่เสี่ยวกวนรับกระดาษแผ่นนั้นไปดู ไม่ถูกสิ ปีที่แล้วตอนที่เขากับต่งชูหลานขึ้นไปที่นั่น ก็ถูกคนขวางเอาไว้ที่สันเขา แล้วเหตุใดถึงไม่พบอะไรเลยเล่า ?
หรือว่าในคืนนั้นเป็นแค่ความบังเอิญงั้นหรือ?
แต่หลินหงเคยกล่าวไว้ว่าจีหลินชุนเถ้าแก่เนี้ยของหอเยียนจือก็เคยไปที่วัดฟูจื่อ หรือจะบอกว่านี่เป็นเรื่องหลอกลวงงั้นหรือ?
หลินหงไม่มีทางโกหกเขาในเรื่องนี้ ถ้าเช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
บนแผ่นกระดาษนี้เขียนอย่างละเอียดว่า : วัดฟูจื่อไม่เคยพบร่องรอยการเคลื่อนไหวของคนเลย วัดที่อยู่บนยอดเขาเต็มไปด้วยใยแมงมุม ศาลเจ้าด้านในเต็มไปด้วยฝุ่นที่หนามาก สีทองที่ติดอยู่ที่ตัวของรูปปั้นก็ลอกออกไปนานแล้ว ดังนั้นที่นี่ไม่มีคนมานานแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น ถ้าเช่นนั้น คืนนั้นใครกันที่อยู่บนเขา ? เขาทำอะไรอยู่บนเขากัน ?แล้วจีหลินชุนขึ้นไปที่วัดฟูจื่อเพื่ออะไรกันอีก ?
……
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้แค่ตัดเงื่อนงำออกไป ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน นอกจากเดินเล่นตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวง รอคนมาลอบฆ่า แต่กลับไม่มีปลามาติดแหเลย คล้ายกับว่าคนที่เคยอยากให้เขาตายนั้นได้หายตัวไปแล้ว พริบตาเดียวฤดูหนาวที่หนาวเหน็บก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 วันที่ห้าเดือนแรก หิมะหยุดตก อากาศแจ่มใส
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะออกไปเดินเล่นต่อ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนซีเหวินมาหา
“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรไปแล้วหรือ?”
“ใช่ ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า”
“นี่เจ้าจะมาบอกลาข้าหรือ?”
เยี่ยนซีเหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนชั่วครู่ ควรจะเป็นเจ้าที่มาบอกลาข้าจะดีกว่าไหม !
“ท่านปู่เชิญเจ้าไปที่จวน”
ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ เยี่ยนเป่ยซีงั้นหรือ ?
อัครเสนาบดีผู้นี้เชิญตนเองไปทำไมกัน?
ในราชสำนักก็เคยเจอกับอัครเสนาบดีอยู่หลายครั้ง แต่มีการพูดคุยกันแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ครั้งหนึ่งที่ห้องทรงพระอักษรตอนที่อธิบายนโยบายบรรเทาสาธารณะภัย อีกครั้งหนึ่งคือในที่ทำการเสมียนกลาง เยี่ยนเป่ยซีตั้งใจจะสนับสนุนตนเอง แต่กลับถูกตนเองปฏิเสธไป
“มีธุระอะไรหรือ” ฟู่เสี่ยวกวนถามด้วยความแปลกใจ
“ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร? อาจจะเป็นเพราะร้อยแก้ว《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ก็ได้ ท่านปู่คัดลอกร้อยแก้วนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปแขวนที่กลางห้องโถงของตระกูลข้า ข้าว่าเจ้าก็หน้าใหญ่พอสมควรเชียวนะ ผ่านมาหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านปู่ให้ความสำคัญกับร้อยแก้วสักบท
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีจุดธูปหอมบูชาตัวอักษรทุกวันไหม ? ”
“ไปให้พ้น……”
ไม่มีทางพูดคุยกับเจ้านี่ดี ๆ ได้เลย เจ้านึกว่าตัวเองเป็นเทพมาจุติงั้นหรือ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)