เยี่ยนเสี่ยวโหลวเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดว่าเขานั้นจะตอบเยี่ยงไร ?
เยี่ยนซีเหวินนิ่งคิดคิ้วขมวด คิดว่าหากท่านปู่ถามตน ตนเองจะตอบเยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนกักเก็บสีหน้า และแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง คิดว่าผักกุยช่ายนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ในสมัยใดต่างก็โชคร้ายเสียจริง
เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีจะถามคำถามนี้ออกมา แต่นี่มิใช่ความเกี่ยวข้องของผักกุยช่ายและวัชพืช แต่เป็นการถามสถานการณ์ปัจจุบันที่ราชสำนักกำลังเผชิญ
เขาไม่พยายามคาดเดาคำตอบที่เยี่ยนเป่ยซีอยากได้ ผ่านไปหลายอึดใจ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“มิ่งจื่อ เรียนเบื้องบน มีเมฆ มีปลา ข้าก็ชอบทั้งสิ้น และข้าก็ชอบตีนหมีเช่นกัน ท่านมิสามารถมีได้ทั้งสองสิ่ง ทิ้งปลาและเลือกตีนหมีเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เมิ่งจื่อเลือก ที่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนถามมา เสี่ยวกวนคิดว่าหากแปลงนาผืนนั้นแห้งแล้ง ปล่อยไปเสียจะดีกว่า รอไปจนถึงช่วงฤดูหนาว หิมะลูกใหญ่นี้จะปกคลุมทั้งผักทั้งพืชจนสลายไปกับพื้นดิน แต่นั่นกลับกลายเป็นปุ๋ยเพื่อปรับปรุงผืนดิน หากแปลงนานั้นเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์…เยี่ยงนั้นก็จงต้องกำจัดวัชพืชอย่างช้า ๆ มิฉะนั้นพวกมันจะไปทำร้ายต้นกุยช่าย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นดี ผักกุยช่ายที่เหลืออยู่จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง”
คำพูดนี้ค่อนข้างสำคัญ เขาเริ่มต้นด้วยปลาและตีนหมี เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของการเลือก ความหมายก็คือนักปราชญ์เองก็สามารถเลือกได้เพียงหนทางเดียวเท่านั้น เยี่ยงนั้นท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเองก็ทำได้เพียงสร้างทางเลือกให้กับตนเอง
และปัจจุบันมีการฉ้อโกงภายในราชสำนักอย่างร้ายแรง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ได้สร้างทางเลือกไว้แล้ว ในฐานะบุคคลหนึ่งที่เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นที่มีผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชานับหมื่น ย่อมเดินตามรอยพระบาทของฮ่องเต้ เพื่อกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
และหากแปลงนาผืนนั้นแห้งแล้งอย่างที่เขาได้กล่าวไป ความหมายก็คือหากกำลังของชาติว่างเปล่า คงจะดีกว่าหากปล่อยทิ้งและมิใส่ใจ ความจริงประโยคนี้คงขัดหูขัดตาใครไปบ้าง เพราะการปล่อยวางมิสนใจ หลังจากผ่านหิมะครั้งใหญ่พืชและผักก็จะถูกซักล้างไปจนหมด บ่งชี้ถึงการล่มสลายของราชวงศ์หยู
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่มิพึงปรารถนาอย่างยิ่ง
แต่นี่ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งความจริง ก็เหมือนกับต้นไม้แก่ที่รากเน่าไปจนหมดแล้ว ต่อให้อยากช่วยให้มันกลับมามีชีวิตมากเพียงใด ก็มิมีทางช่วยกลับมาได้ ทำได้เพียงมองมันร่วงหล่น หลังจากนั้นก็เพียงแค่หาต้นไม้ใหม่และเฝ้าดูพวกมันเติบโต
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าราชวงศ์หยูในตอนนี้แท้จริงแล้วมีผู้ป่วยที่สาหัสหรือไม่ แต่เยี่ยนเป่ยซีย่อมทราบ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดออกมา เพื่อดูการเลือกของเยี่ยนเป่ยซี
เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน มิใช่มิเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน นางเติมชาจนเต็มทั้งสี่ถ้วย ส่งให้ท่านปู่และฟู่เสี่ยวกวน เมียงมองท่านปู่ ในยามนี้ท่าทีของเยี่ยนเป่ยซีจริงจังถึงที่สุด
เยี่ยนซีเหวินเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้ใจกล้ามิเบา หากเป็นตนเอง ย่อมเลือกที่จะกำจัดวัชพืชเหล่านั้นทิ้ง
ส่วนเรื่องดิน…ชีวิตของทุกคนต่างอยู่ในแปลงนาผืนนี้กันทั้งสิ้น เยี่ยงนั้นก็หาวิธีปรับเปลี่ยนกันไปอย่างช้า ๆ
ผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยนเป่ยซีจึงพยักหน้า และไม่แสดงความคิดเห็นอันใดเกี่ยวกับคำพูดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน
“ฤดูใบไม้ผลินี้ข้าเลี้ยงปลามากมายในบ่อน้ำนั้น หลังจากนั้นก็จะปลูกบัว และมีพืชน้ำอีกมากมาย หวังว่าปลาเหล่านั้นจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่มิรู้ว่าเมื่อใดที่ได้มีแมวเข้ามา พวกมันมักจะอาศัยช่วงเวลาที่มิมีผู้คนสนใจไปขโมยปลาในบ่อ ดังนั้นปลาจึงน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพื่อปลาเหล่านั้น ข้าจึงเลี้ยงสุนัขสักตัว หวังว่าสุนัขตัวนี้จะไล่แมวได้ แต่สุดท้าย…คาดมิถึงว่าแมวกับสุนัขต่างร่วมกันขุดโพรง”
“ข้าขอถามเจ้า จะไล่แมวหรือขับไล่สุนัขออกไปดี ? ”
ให้ตายเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกอีกครา รู้สึกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีควรจะไปเป็นพระ เขาต้องได้เป็นพระอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมเป็นแน่
ผู้อาวุโสอยากจะกล่าวอะไรก็กล่าวมาตรง ๆ มิได้หรือ ?
มัวแต่จะเล่นทายสำบัดสำนาน คำตอบของคำถามนี้แบบนี้มันน่าเบื่อมาก ท่านจะรู้หรือไม่ !
ความหมายคือสถานการณ์ที่ราชวงศ์หยูกำลังเผชิญในปัจจุบัน
ราชวงศ์หยูคือบ่อน้ำ และแมวเหล่านั้นก็เป็นตัวแทนของแคว้นอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ราชวงศ์หยูและสุนัขก็หมายถึงกองทัพของราชวงศ์หยู
ดูเหมือนว่ากองทัพของราชวงศ์หยูจะมีปัญหา พวกเขาไร้บทบาทในการปกป้องแว่นแคว้น จนไปถึงขั้นร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อกัดกินผลประโยชน์ของราชวงศ์หยู
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิตอบและโน้มกายลงพร้อมเอ่ยถามอย่างจริงจัง “แท้จริงแล้วเลวร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือขอรับ ? ”
“ยังมิถึงขั้นนั้น”
ความหมายของมันดูค่อนข้างร้ายแรงอยู่ทีเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด ยกจอกชาขึ้นมาดื่ม และกล่าวอย่างมิคิดอะไร “ข้าตีสุนัข โดยมิเคยมองไปที่เจ้าของ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเล่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เยี่ยงนั้นต้องตีสุนัขก่อน !
เยี่ยนเป่ยซียิ้มอย่างเงียบ ๆ คำพูดนี้มิมีการไว้หน้าเขาโดยสิ้นเชิง ชายผู้นี้ช่างเถรตรง มิแปลกใจที่ฝ่าบาทให้เขาเป็นดาบ ช่างคมยิ่งนัก เพียงแค่ดาบนั้นแข็งเกินไปทั้งยังหักได้ง่าย สำหรับเขานี่มิใช่เรื่องที่ดีเท่าใดนัก
แต่คิดในทางกลับกัน ในราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ ขุนนางนั้นมีจำนวนนับหมื่น หากมิสามารถขจัดความยุ่งเหยิงภายในเวลาอันรวดเร็วโดยปลายดาบเพื่อกำจัดความเสี่ยงได้ ก็จะเข้าสู่สภาวะหยุดชะงักในทันที เยี่ยงนั้นราชวงศ์หยูก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง
ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับต้าหยู เยี่ยนเป่ยซีย่อมมิคาดหวังให้เกิดปัญหากับราชวงศ์หยู แต่ในทางเดียวกัน เขาก็มิต้องการให้ผลประโยชน์โดยอำนาจของตระกูลเยี่ยนสูญเสียมากเกินไปเช่นกัน
เขาได้อ่านขาดหมากบนกระดานของฮ่องเต้หมดแล้ว และเข้าใจว่าปีนี้ค่อนข้างที่จะวิกฤต ฮ่องเต้ต้องการจัดระบอบบ้านเมืองใหม่ การตรวจสอบการฉ้อโกงเสบียงบรรเทาสาธารณภัยโดยละเอียด และใช้โอกาสนี้กำจัดรากเหง้าของกองกำลังสำคัญก็เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น และขั้นต่อไป…ย่อมตกอยู่ที่ราชสำนักอย่างแน่นอน
ส่วนเหตุที่ฮ่องเต้ตัดสินประหารคนเหล่านั้นโดยมิไต่สวน เยี่ยนเป่ยซีเองก็อ่านได้ขาดเช่นกัน
กองทัพมิมั่นคง !
โดยเฉพาะกองทัพชายแดนตะวันออก !
ผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออกก็คือเยี่ยนฮ่าวชู บุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซี !
เยี่ยงนั้นฮ่องเต้ที่ประสงค์จะจัดระบอบบ้านเมืองใหม่ ก็ต้องทำให้กองทัพเสถียรภาพเสียก่อน ผลลัพธ์ถึงจะเป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะเปลี่ยนผู้บัญชาการ หรือจะ…ขจัดทิ้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)