นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 199

ดวงอาทิตย์อัสดง ทะเลสาบซวนอู่ยังคงมีแผ่นน้ำแข็งปกคลุมอยู่ครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งทอแสงสีแดงระยิบระยับ

บาดแผลของซูซูและฟู่เสี่ยวกวนได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ไหล่ทางซ้ายและขวาของซูซูได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มิได้ส่งผลต่อการเลียถังหูลู่ของนางอย่างมีความสุข

ตามร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนมี 3 รอย ที่ต้นขามีหนึ่งรอย ที่ด้านหลังมีหนึ่งรอย และแขนด้านซ้ายอีกหนึ่งรอย

โชคดีที่เป็นเพียงแผลแฉลบที่ไม่ได้ลึกมาก แต่รอยฟันทางด้านหลังกลับยาวอย่างมาก ซูโหรวเป็นผู้จัดการบาดแผลของฟู่เสี่ยวกวน นางใช้เส้นไหมพิเศษและใช้เข็มเย็บปิดบาดแผล หลังจากนั้นก็พรมยาของสำนักเต๋าให้อีกเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนกัดริมฝีปากครางออกมาอย่างเจ็บปวด

ในตอนนี้พลังของเขาได้ฟื้นคืนมาเล็กน้อยแล้ว เขาได้ไปยังศาลาเถาหรานด้วยการประคองของชุนซิ่ว เพราะองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าได้มารอเขาอยู่

“ความจริงข้ามิควรมารบกวนเจ้าในวันนี้ แต่ก็หักห้ามความสงสัยไว้มิอยู่ ดังนั้นจึงได้มาถึงที่นี่”

องค์ชายห้าต้มชาและมองสำรวจฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนซีดเซียว บนร่างยังคงมีกลิ่นของยาสมุนไพร แต่เขาก็ยังดูมีชีวิตชีวาและพละกำลังอยู่ มิเหมือนตอนที่ถูกลักพาตัวไปปีที่แล้ว บาดแผลในตอนนั้นสาหัสยิ่ง

“ข้าจะตายแล้ว พระองค์ก็มิมาช่วย” ฟู่เสี่ยวกวนยกชาขึ้นมาดื่ม เงยหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน และก็ได้ยินหยูเวิ่นเต้ากล่าวอย่างขำขัน “มิใช่ว่าข้ามิอยากไปช่วย”

“นั่นเพราะเหตุใดกัน ? ”

“เพราะเสด็จแม่กล่าวว่าเจ้าจะมิตาย”

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น เขาเองก็ได้สะสางเรื่องให้เป็นระเบียบแล้ว คิดในใจว่าหอชิงเฟิงซี่หยู่ย่อมรู้ว่าเขากำลังถูกโจมตีที่ถนนเส้นยาว แต่องค์ชายห้ากลับมิมาช่วย เขาเองก็คิดในใจว่าศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิงย่อมทราบว่ามีการต่อสู้ที่ถนนเส้นยาว แต่มิมีเงาของเจ้าหน้าที่แม้แต่เพียงผู้เดียว

ในตอนที่กำลังสู้ก็มิได้คิดถึงเรื่องนี้ ระหว่างที่เดินทางกลับเขาถึงได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในยามนี้ที่องค์ชายห้ามาหาเขา ก็ได้ปัดเป่าข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจเขาไปได้ แต่ก็มิรู้ว่าพระสนมซั่งใช้อะไรมาตัดสินว่าเขานั้นจะมิมีทางตาย

ส่วนผู้ว่าการจินหลิง หนิงหยู่ชุน ก็ยังมิเคยมาคลุกคลีกับเขา ภายใต้อำนาจของฮุ่ยชินอ๋อง การที่หนิงหยู่ชุนเลือกจะเก็บศพก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลยิ่ง เยี่ยงไรแล้วเขาก็มิมีความจำเป็นต้องสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับชินอ๋องผู้สูงศักดิ์เพื่อคนที่มิเคยสนิทสนมกันมาก่อน

“ข้าได้ไปที่ศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิงมาแล้ว”

“พระองค์เห็นอะไรหรือไม่ ? ”

“หนิงหยู่ชุนอยากจะมาช่วยเจ้า แต่หยูเล่อซื่อจื่อจากจวนฮุ่ยชินอ๋องอยู่ที่นั่น ยามที่ข้าไปถึง หนิงไท่ฟู่ก็มาแล้วเช่นกัน สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด เพราะหนิงหยู่ชุนโกรธอย่างยิ่ง”

“หนิงหยู่ชุนเป็นคนเช่นไรกัน ? ”

“เป็นจอหงวนรัชสมัยไท่เหอปีที่ 45 และรัชสมัยไท่เหอปีที่ 48 ได้บูรณะวิหารจี๋ยิงขึ้นใหม่ รัชสมัยไท่เหอปีที่ 50 เป็นรองผู้บัญชาการกองทหารราบของกองทัพชายแดนตะวันออก รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 4 เป็นนายกองทหารราบของกองทัพชายแดนตะวันออก ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 ได้กลับมายังราชสำนักจนถึงเดือนสิบปีที่ผ่านมา ได้เป็นผู้ตรวจสอบราชการเสนาบดีของคณะเสนาบดี”

ได้ยินเช่นนั้น ก็พบว่าหนิงหยู่ชุนเป็นพลเรือนและทหารที่มีความสามารถรอบด้าน

สองวันก่อนหน้านั้นเยี่ยนเป่ยซีก็กล่าวว่าคณะเสนาบดีขาดผู้ตรวจสอบราชการคณะเสนาบดี คิดดูแล้วคงเป็นหลังจากที่โยกย้ายหนิงหยู่ชุนไปรับตำแหน่งผู้ว่าการจินหลิงจึงจะมีตำแหน่งว่าง

“คนผู้นี้เป็นคนเที่ยงธรรม เคยเรียนร่วมสำนักและชั้นเดียวกันกับฉินโม่เหวิน ครั้งนี้มิใช่ความตั้งใจของเขาที่มิได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่เพราะถูกบิดาของเขา หนิงไท่ฟู่ กดดันเอาไว้”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรแล้วก็มิใช่ทุกคนที่จะสามารถก้มหัวให้กับอำนาจได้ ดังนั้นเขาจึงเพียงถอนหายใจและพยักหน้า

“ในตอนที่ข่าวคราวการรบจากถนนสายยาวมาถึงศาลาว่าการผู้ว่าการจินหลิง ท่าทางของผู้คนเหล่านั้นต่างก็รู้สึกยินดีอย่างมาก หยูเล่อเป็นบุตรคนโตของฮุ่ยชินอ๋อง ในยามนั้นพวกเขายากที่จะเชื่อ ความจริงข้าเองก็ยากที่จะเชื่อ นั่นคือทหารม้าประจำกองทั้งหมด 400 นาย คาดมิถึงว่าพวกเขาจะชนะมาได้ แต่สำนักเต๋า…” สายตาของหยูเวิ่นเต้าหันไปมองซูโหรวและหันไปทางซูซู “แท้จริงแล้วสำนักเต๋ายอดเยี่ยมอย่างมาก”

“ในยามนั้นหนิงไท่ฟู่ก็ยืนขึ้นมา สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เขาส่ายหน้าและเดินจากไป แต่หนิงหยู่ชุนกลับดีใจยิ่งนัก เขาถึงกับหยิบขวดซีชานเทียนฉุนขึ้นมาดื่มแต่เพียงผู้เดียว มิได้คำนับข้าและมิได้คำนับหยูเล่อ คาดว่าคงมิพอใจที่ข้ามิไปช่วยเจ้าเช่นกัน”

“นี่คือเหตุการณ์ที่ศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิง ! ”

“กลับไปแล้วพระองค์ก็อย่าได้ไปพูดเรื่องนี้กับเวิ่นหวินเชียว โปรดอย่าทำให้นางกังวลใจ”

“อย่างไรก็ปิดมิอยู่หรอก ใช่ ! ข้าจะเตือนเจ้าเสียหน่อย วันที่สิบเดือนนี้ มีความเป็นไปได้ที่พระชนนีจะเรียกเจ้าเข้าเฝ้า นี่คือโอกาสเดียวของเจ้ากับน้องสาวข้า หวังว่าเจ้าจะกุมเอาไว้ได้”

ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงค้าง นึกถึงที่ช่วงหลายวันมานี้หยูเวิ่นหวินมิได้ออกมาข้างนอกแล้วจึงเอ่ยถาม “พระชนนีทรงโปรดสิ่งใดกัน ?”

“ข้าจักไปรู้ได้เยี่ยงไร พระชนนียังขาดสิ่งใดอีกกัน พระนางมิขาดแคลนสิ่งใดทั้งนั้น… แต่อย่างไรก็ตาม พระชนนีทรงกังวลใจกับเรื่องการดำรงชีวิตของราษฎร ยามที่เสด็จพ่อไปเยี่ยมเยียนพระนางก็ถามเป็นครั้งคราว”

ให้ตายเถอะ จะเริ่มลงมือจากตรงไหนกัน ?

เรื่องนี้ต้องสำเร็จเท่านั้นมิสามารถพลาดพลั้งไปได้

“ช่วงนี้เวิ่นหวินกำลังทำอันใดอยู่รึ ? ”

“ฝึกซ้อมงิ้วกับพระชนนี”

“ฝึกซ้อมงิ้วรึ ? ฝึกซ้อมเรื่องอะไร ? ”

“ความฝันในหอแดงของเจ้าอย่างไรหละ พระชนนีได้เชิญคณะงิ้วมา ในช่วงนี้ก็ทำอยู่แต่กับเรื่องนี้ กล่าวว่าจะขึ้นแสดงอย่างเป็นทางการในวันที่สิบสี่ของเดือนนี้”

“จะกล่าวว่า พระชนนีพอพระทัยกับความฝันในหอแดงเยี่ยงนั้นรึ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนเอนร่างขึ้นมา และเอ่ยถามอย่างดีใจ

แต่คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นเต้าจะจ้องเขาตาเขม็ง “หากเจ้าเขียนตอนจบให้สวยงามอีกสักเล็กน้อย เกรงว่าพระชนนีคงจะชื่นชอบเจ้าได้จริง ๆ แต่เจ้ากลับทำเรื่องที่มิเหมาะสมออกมา ดังนั้นตัวเจ้าในความคิดของพระชนนี…มีจิตใจที่ดำมืดเกินไป มิเช่นนั้นน้องสาวข้าจะต้องวิ่งไปตำหนักของพระชนนีทำไมทุกวัน ก็มิใช่เพื่อกอบกู้ความคิดที่พระชนนีมีต่อเจ้ากลับมาอย่างสุดกำลังหรือ”

เฮ้ นี่จะมาโทษข้ามิได้นะ !

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)