ประโยคสุดท้ายที่หยูเวิ่นเทียนเอ่ยออกมาราวกับโกรธเป็นอย่างมาก แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเอ่ยอาจจะเป็นจริง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงให้คำตอบเยี่ยงไรแก่เขา ?
แล้วจึงนึกต่อไปว่า บัดนี้ไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสเยี่ยงไรก็ดูไร้ความหมาย
เรื่องการกบฏ ตามปกติจะต้องเตรียมแผนการล่วงหน้าเป็นเวลานาน เนื่องจากป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ในประวัติศาสตร์มีกบฏไร้สมองมิน้อย หากนำเอาประสบการณ์ของพวกเขามาเป็นบทเรียน อีกทั้งวางแผนอย่างแยบยล ผลที่ออกมาคงจะไม่เกิดข้อผิดพลาดมากนัก
หยูเวิ่นเทียนได้วางแผนมาตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ปัจจุบันนับได้ 9 ปีแล้ว เวลาเนิ่นนานนี้เพียงพอต่อการที่เขาจะวางกำลังคนไว้ในราชวัง และเพียงพอสำหรับการที่เขาจะนำกองทหารมาแฝงตัวไว้ในสุสานหลวงนี้ได้
ดังนั้นจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดู การที่หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏในครานี้สิ่งที่ได้เปรียบคือ
หนึ่ง ความรวดเร็ว
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าหยูเวิ่นเทียนจะก่อกบฏ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยใกล้ชิดกับหยูเวิ่นเทียนมาก่อน แม้แต่พบหน้ากันก็มิเคย หอชิงเฟิงซี่หยู่มิได้ให้ความสำคัญกับหยูเวิ่นเทียน
เนื่องจากเรื่องสวรรคตของไทเฮาเป็นเรื่องกะทันหัน เขาจึงได้ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ฮ่องเต้จะทรงออกจากพระราชวังไปยังสุสานหลวง ข้างกายมิมีองครักษ์ปกป้อง
สองนั้นเนื่องจากเป็นโอกาส
เขารู้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงเข้าไปยังสุสานหลวง และรู้ว่าเชื้อพระวงศ์แทบจะทุกคนเดินทางไป ณ ที่นี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกลงมือที่ด้านนอก เพราะบุคคลสำคัญในราชวงศ์หยูล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
บัดนี้องค์ชายองค์หญิงและเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ล้วนตกเป็นตัวประกันของเขา แม้แต่ฮ่องเต้และพระสนมซั่งก็ด้วย เช่นนั้นการที่เขาจะยึดครองราชวงศ์หยูก็มิใช่เรื่องยาก
สาม นี่คือผลของการอดกลั้น
8 ปี ! เขาลักลอบทำเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้ถึง 8 ปี ! พระสนมซั่งเคยดูแลหอชิงเฟิงซี่หยู่ นางมิรับรู้เรื่องเหล่านี้สักนิดเดียวเลยงั้นรึ ?
เช่นนั้นเมื่อปีก่อนที่เขาถูกลอบฆ่า ณ เมืองหลวง ก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนปัดความคิดนี้ทิ้งไป หยูเวิ่นเทียนต้องการราชวงศ์หยู เขาจะมาใส่ใจบุตรชายพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เยี่ยงเขาเพื่อเหตุใดกัน ?
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา
ฮ่องเต้ก็ทรงเอ่ยขึ้นมาว่า “ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่เจ้าก่อกบฏงั้นรึ ? ”
“ทูลเสด็จพ่อ นี่คือวิธีที่ลูกจะล้างแค้นแทนเสด็จแม่ได้”
“เพียงแค่คำพูดของเว่ยต้าจ้วง เจ้าก็คิดจะประหารข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หยูเวิ่นเทียนคารวะอีกครั้ง “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกคิดว่าเสด็จพ่ออายุมากแล้ว ควรจะลงจากบัลลังก์ได้แล้ว”
“เจ้ามิเคยคิดบ้างรึว่าคำที่ออกมาจากปากเว่ยต้าจ้วงเป็นเรื่องโกหก ? ”
“ขันทีเว่ยหาได้มีเหตุผลโกหกลูกไม่ เนื่องจากหากลูกขึ้นสู่บัลลังก์ ขันทีเว่ยยังคงจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเหล่าบรรพบุรุษ”
“หากว่าเว่ยต้าจ้วงคือผู้ที่หลงเหลืออยู่ของลัทธิจันทราในราชวงศ์ก่อนเล่า ?”
“……” หยูเวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเอ่ยว่า “เป็นไปมิได้ ! ”
หยูยิ่นหัวเราะอย่างประชดประชัน ทรงมองไปยังราชครูเฟ่ยแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้าแล้วรึ ? ”
ราชครูเฟ่ยคารวะแล้วตอบว่า “กระหม่อมมิอาจปิดบังฝ่าบาทได้ กระหม่อมได้เข้ามามีส่วนร่วมของเรื่องนี้ในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ตอนเทศกาลโคมไฟที่ผ่านมา”
เขาเพียงเอ่ยว่ามีส่วนร่วม แต่มิได้เอ่ยว่าตนรู้ องค์ชายใหญ่เคยพูดจาหว่านล้อมเขา แต่เขาก็ลังเลมาโดยตลอด
“เจ้าเองก็เป็นขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ ช่างร่วมก่อกบฏกับเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้…ภายในจิตใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการที่เฟ่ยอันบุตรชายของกระหม่อมถูกใส่ความ แต่ฝ่าบาททรงมิได้ให้ความเป็นธรรมแก่เขา หลายปีมานี้กระหม่อมเห็นบุตรชายทนทำนา ในใจขมขื่นยิ่งนัก จิตใจที่เคยร้อนเป็นไฟกลับค่อย ๆ เยือกเย็น ความสามารถของเฟ่ยอันนั้นฝ่าบาททรงทราบดี ความมุ่งทะเยอทะยานของเขานั้นฝ่าบาทก็ทรงทราบดี แต่เขากลับต้องหมดสิ้นความหวังในน้ำมือของฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว บุตรชายคนโตของกระหม่อมควรจะสืบสกุลต่อไป แต่บัดนี้เขายังทำนาอยู่ ตระกูลเฟ่ยเกรงว่าจะสูญสิ้นแล้ว ดังนั้น…กระหม่อมเพียงคิดทำเพื่อตระกูลเฟ่ยเท่านั้น ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์
“อืม เจ้าอายุมากแล้วจริง ๆ เจ้าลืมไปเสียแล้วว่าเฟ่ยอันเคยเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับข้า”
ราชครูเฟ่ยได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น
เฟ่ยอันเป็นสหายร่วมชั้นของฮ่องเต้ !
นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เขาคิดว่าฝ่าบาทจะทรงลืมไปแล้วเสียอีก คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะยังทรงจำได้…เช่นนั้นเรื่องกองทหารตะวันออกมิใช่ฝีมือของเฟ่ยอัน เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้เขาแบกรับโทษอยู่ถึง 5 ปี ?
เขาเพียงคิดได้ดังนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาว่า “เช่นนั้นหยูเวิ่นเทียนนำกองทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงทางใต้มายังที่นี่งั้นรึ ? ”
ราชครูเฟ่ยพยักหน้า “องค์ชายใหญ่ประสงค์จะทำการใหญ่ หากในมือมิมีกำลังทหารคงมิได้แน่ อีกทั้งทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงล้วนเป็นทหารที่องค์ชายใหญ่ฝึกฝนมากับมือ”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจว่า หยูเวิ่นเทียนมิเลวเลย
หยูยิ่นมองไปยังหยูเวิ่นเทียน มุมปากเผยอขึ้น มิรู้ว่าเยาะเย้ยเขาหรือตนเองกันแน่
“แท้จริงข้าประสงค์ว่าเดือนสองวันที่สอง ในวันที่มังกรเชิดหน้านั้น ข้าจะไปฝึกฝีมือที่พื้นที่ล่าสัตว์ทางใต้”
ฝ่าบาททรงเดินหน้าขึ้นมาสองก้าวจากนั้นเอ่ยว่า “เจ้านั้นมิเลว โตขึ้นมากทีเดียว แต่การกระทำของเจ้าและความเจ้าเล่ห์นี้มิอาจเป็นผู้นำแผ่นดินได้ เดิมทีเจ้าวางแผนไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เรียบร้อยแล้ว เช่นบริเวณลานนั้น นับจากปีที่แล้ววันที่สองเดือนสิบสอง เจ้าก็มิได้เดินทางไปอีก เนื่องจากได้วางกับดักไว้มากมาย
“อีกทั้ง…เจ้ายังให้มือธนูซุกซ่อนอยู่ในวังของเจ้าอีกด้วยมิใช่รึ”
“เจ้าเกรงว่าข้าจะไม่อยู่ที่วังหลวง จึงได้วางกำลังทหารไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เช่นกัน”
“แท้จริงการเตรียมการเหล่านี้ดียิ่ง ข้าเองเมื่อรับรู้ก็รู้สึกชื่นชม หมายความว่าเจ้ามิได้มีความรู้ด้านทหารเพียงเปลือกนอก”
หยูเวิ่นเต้าขวมดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต !
ในใจของเขาเริ่มกังวล แผนการเหล่านั้นเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เดิมทีเขาคาดว่ามิมีผู้ใดรรู้ แต่เสด็จพ่อกลับรู้ได้อย่างละเอียด !
ความรู้สึกนี้คล้ายกับถูกฉีกเสื้อผ้าออกจากร่างกาย ทุกอณูถูกฝ่ายตรงข้ามรับรู้ หาได้ลึกลับแม้แต่น้อย
เขายังมิได้ลงมือ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสมาว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว อย่าได้รีบร้อนไป นาน ๆ ทีข้าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้า”
จากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงทอดพระเนตรไปยังผู้เฒ่าชือ สายตาเปลี่ยนไปจนทำให้เขาก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว
“ข้าปฏิบัติต่อตระกูลชือมิดีเยี่ยงนั้นรึ ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)