นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 242

สรุปบท ตอนที่ 242 เจ้าจงตายเสียเถิด: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 242 เจ้าจงตายเสียเถิด – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 242 เจ้าจงตายเสียเถิด จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ประโยคสุดท้ายที่หยูเวิ่นเทียนเอ่ยออกมาราวกับโกรธเป็นอย่างมาก แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเอ่ยอาจจะเป็นจริง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงให้คำตอบเยี่ยงไรแก่เขา ?

แล้วจึงนึกต่อไปว่า บัดนี้ไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสเยี่ยงไรก็ดูไร้ความหมาย

เรื่องการกบฏ ตามปกติจะต้องเตรียมแผนการล่วงหน้าเป็นเวลานาน เนื่องจากป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ในประวัติศาสตร์มีกบฏไร้สมองมิน้อย หากนำเอาประสบการณ์ของพวกเขามาเป็นบทเรียน อีกทั้งวางแผนอย่างแยบยล ผลที่ออกมาคงจะไม่เกิดข้อผิดพลาดมากนัก

หยูเวิ่นเทียนได้วางแผนมาตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ปัจจุบันนับได้ 9 ปีแล้ว เวลาเนิ่นนานนี้เพียงพอต่อการที่เขาจะวางกำลังคนไว้ในราชวัง และเพียงพอสำหรับการที่เขาจะนำกองทหารมาแฝงตัวไว้ในสุสานหลวงนี้ได้

ดังนั้นจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดู การที่หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏในครานี้สิ่งที่ได้เปรียบคือ

หนึ่ง ความรวดเร็ว

มิมีผู้ใดคาดคิดว่าหยูเวิ่นเทียนจะก่อกบฏ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยใกล้ชิดกับหยูเวิ่นเทียนมาก่อน แม้แต่พบหน้ากันก็มิเคย หอชิงเฟิงซี่หยู่มิได้ให้ความสำคัญกับหยูเวิ่นเทียน

เนื่องจากเรื่องสวรรคตของไทเฮาเป็นเรื่องกะทันหัน เขาจึงได้ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ฮ่องเต้จะทรงออกจากพระราชวังไปยังสุสานหลวง ข้างกายมิมีองครักษ์ปกป้อง

สองนั้นเนื่องจากเป็นโอกาส

เขารู้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงเข้าไปยังสุสานหลวง และรู้ว่าเชื้อพระวงศ์แทบจะทุกคนเดินทางไป ณ ที่นี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกลงมือที่ด้านนอก เพราะบุคคลสำคัญในราชวงศ์หยูล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

บัดนี้องค์ชายองค์หญิงและเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ล้วนตกเป็นตัวประกันของเขา แม้แต่ฮ่องเต้และพระสนมซั่งก็ด้วย เช่นนั้นการที่เขาจะยึดครองราชวงศ์หยูก็มิใช่เรื่องยาก

สาม นี่คือผลของการอดกลั้น

8 ปี ! เขาลักลอบทำเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้ถึง 8 ปี ! พระสนมซั่งเคยดูแลหอชิงเฟิงซี่หยู่ นางมิรับรู้เรื่องเหล่านี้สักนิดเดียวเลยงั้นรึ ?

เช่นนั้นเมื่อปีก่อนที่เขาถูกลอบฆ่า ณ เมืองหลวง ก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้เยี่ยงนั้นรึ ?

ฟู่เสี่ยวกวนปัดความคิดนี้ทิ้งไป หยูเวิ่นเทียนต้องการราชวงศ์หยู เขาจะมาใส่ใจบุตรชายพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เยี่ยงเขาเพื่อเหตุใดกัน ?

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา

ฮ่องเต้ก็ทรงเอ่ยขึ้นมาว่า “ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่เจ้าก่อกบฏงั้นรึ ? ”

“ทูลเสด็จพ่อ นี่คือวิธีที่ลูกจะล้างแค้นแทนเสด็จแม่ได้”

“เพียงแค่คำพูดของเว่ยต้าจ้วง เจ้าก็คิดจะประหารข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”

หยูเวิ่นเทียนคารวะอีกครั้ง “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกคิดว่าเสด็จพ่ออายุมากแล้ว ควรจะลงจากบัลลังก์ได้แล้ว”

“เจ้ามิเคยคิดบ้างรึว่าคำที่ออกมาจากปากเว่ยต้าจ้วงเป็นเรื่องโกหก ? ”

“ขันทีเว่ยหาได้มีเหตุผลโกหกลูกไม่ เนื่องจากหากลูกขึ้นสู่บัลลังก์ ขันทีเว่ยยังคงจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเหล่าบรรพบุรุษ”

“หากว่าเว่ยต้าจ้วงคือผู้ที่หลงเหลืออยู่ของลัทธิจันทราในราชวงศ์ก่อนเล่า ?”

“……” หยูเวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเอ่ยว่า “เป็นไปมิได้ ! ”

หยูยิ่นหัวเราะอย่างประชดประชัน ทรงมองไปยังราชครูเฟ่ยแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้าแล้วรึ ? ”

ราชครูเฟ่ยคารวะแล้วตอบว่า “กระหม่อมมิอาจปิดบังฝ่าบาทได้ กระหม่อมได้เข้ามามีส่วนร่วมของเรื่องนี้ในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ตอนเทศกาลโคมไฟที่ผ่านมา”

เขาเพียงเอ่ยว่ามีส่วนร่วม แต่มิได้เอ่ยว่าตนรู้ องค์ชายใหญ่เคยพูดจาหว่านล้อมเขา แต่เขาก็ลังเลมาโดยตลอด

“เจ้าเองก็เป็นขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ ช่างร่วมก่อกบฏกับเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้…ภายในจิตใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการที่เฟ่ยอันบุตรชายของกระหม่อมถูกใส่ความ แต่ฝ่าบาททรงมิได้ให้ความเป็นธรรมแก่เขา หลายปีมานี้กระหม่อมเห็นบุตรชายทนทำนา ในใจขมขื่นยิ่งนัก จิตใจที่เคยร้อนเป็นไฟกลับค่อย ๆ เยือกเย็น ความสามารถของเฟ่ยอันนั้นฝ่าบาททรงทราบดี ความมุ่งทะเยอทะยานของเขานั้นฝ่าบาทก็ทรงทราบดี แต่เขากลับต้องหมดสิ้นความหวังในน้ำมือของฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว บุตรชายคนโตของกระหม่อมควรจะสืบสกุลต่อไป แต่บัดนี้เขายังทำนาอยู่ ตระกูลเฟ่ยเกรงว่าจะสูญสิ้นแล้ว ดังนั้น…กระหม่อมเพียงคิดทำเพื่อตระกูลเฟ่ยเท่านั้น ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”

หยูยิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์

“อืม เจ้าอายุมากแล้วจริง ๆ เจ้าลืมไปเสียแล้วว่าเฟ่ยอันเคยเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับข้า”

ราชครูเฟ่ยได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น

เฟ่ยอันเป็นสหายร่วมชั้นของฮ่องเต้ !

นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เขาคิดว่าฝ่าบาทจะทรงลืมไปแล้วเสียอีก คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะยังทรงจำได้…เช่นนั้นเรื่องกองทหารตะวันออกมิใช่ฝีมือของเฟ่ยอัน เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้เขาแบกรับโทษอยู่ถึง 5 ปี ?

เขาเพียงคิดได้ดังนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาว่า “เช่นนั้นหยูเวิ่นเทียนนำกองทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงทางใต้มายังที่นี่งั้นรึ ? ”

ราชครูเฟ่ยพยักหน้า “องค์ชายใหญ่ประสงค์จะทำการใหญ่ หากในมือมิมีกำลังทหารคงมิได้แน่ อีกทั้งทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงล้วนเป็นทหารที่องค์ชายใหญ่ฝึกฝนมากับมือ”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจว่า หยูเวิ่นเทียนมิเลวเลย

หยูยิ่นมองไปยังหยูเวิ่นเทียน มุมปากเผยอขึ้น มิรู้ว่าเยาะเย้ยเขาหรือตนเองกันแน่

“แท้จริงข้าประสงค์ว่าเดือนสองวันที่สอง ในวันที่มังกรเชิดหน้านั้น ข้าจะไปฝึกฝีมือที่พื้นที่ล่าสัตว์ทางใต้”

ฝ่าบาททรงเดินหน้าขึ้นมาสองก้าวจากนั้นเอ่ยว่า “เจ้านั้นมิเลว โตขึ้นมากทีเดียว แต่การกระทำของเจ้าและความเจ้าเล่ห์นี้มิอาจเป็นผู้นำแผ่นดินได้ เดิมทีเจ้าวางแผนไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เรียบร้อยแล้ว เช่นบริเวณลานนั้น นับจากปีที่แล้ววันที่สองเดือนสิบสอง เจ้าก็มิได้เดินทางไปอีก เนื่องจากได้วางกับดักไว้มากมาย

“อีกทั้ง…เจ้ายังให้มือธนูซุกซ่อนอยู่ในวังของเจ้าอีกด้วยมิใช่รึ”

“เจ้าเกรงว่าข้าจะไม่อยู่ที่วังหลวง จึงได้วางกำลังทหารไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เช่นกัน”

“แท้จริงการเตรียมการเหล่านี้ดียิ่ง ข้าเองเมื่อรับรู้ก็รู้สึกชื่นชม หมายความว่าเจ้ามิได้มีความรู้ด้านทหารเพียงเปลือกนอก”

หยูเวิ่นเต้าขวมดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต !

ในใจของเขาเริ่มกังวล แผนการเหล่านั้นเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เดิมทีเขาคาดว่ามิมีผู้ใดรรู้ แต่เสด็จพ่อกลับรู้ได้อย่างละเอียด !

ความรู้สึกนี้คล้ายกับถูกฉีกเสื้อผ้าออกจากร่างกาย ทุกอณูถูกฝ่ายตรงข้ามรับรู้ หาได้ลึกลับแม้แต่น้อย

เขายังมิได้ลงมือ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสมาว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว อย่าได้รีบร้อนไป นาน ๆ ทีข้าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้า”

จากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงทอดพระเนตรไปยังผู้เฒ่าชือ สายตาเปลี่ยนไปจนทำให้เขาก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว

“ข้าปฏิบัติต่อตระกูลชือมิดีเยี่ยงนั้นรึ ? ”

เขาหลับตาลงช้า ๆ จากนั้นเอ่ยเพียงว่า “หากเจ้าได้บัลลังก์นี้ไป เจ้าจะจัดการอย่างไรกับพระสนมซั่งและ…เชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ? ”

หยูเวิ่นเทียนหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วตอบกลับไปว่า “เสด็จพ่อรับรองว่าจะได้อยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิต ส่วนบรรดาเชื้อพระวงศ์ล้วนมีเลือดเนื้อราชวงศ์หยู ลูกจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเมตตา แม้แต่น้องสี่ก็เช่นกัน ลูกมิต้องการเห็นการนองเลือด ดังนั้นลูกเพียงต้องการให้คนสองคนตาย”

เขามองมายังพระสนมซั่ง “สตรีจอมมารยาที่ทำให้เสด็จแม่จากไป จำเป็นต้องตายชดใช้ด้วยชีวิต ! ”

จากนั้นหันไปยังฟู่เสี่ยวกวน “บุตรพ่อค้าที่ดินจากหลินเจียงคนนี้ เขาจำเป็นต้องตาย !”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงยิ่ง ข้ามิได้ไปทำสิ่งใดแก่เจ้าเลย เหตุใดข้าจึงต้องตายเล่า ?

ฮ่องเต้ก็ตกตะลึงเช่นกัน หยูเวิ่นเทียนจึงเอ่ยว่า “เขา…ช่างอันตรายยิ่ง ลูกมิชอบ”

สวรรค์ เหตุผลอันไร้ซึ่งเหตุผล !

หากเจ้าก่อกบฏสำเร็จ ข้าจะอันตรายได้เยี่ยงไร ?

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าประโยคนี้เหนือความคาดหมาย ดังนั้นเขาจึงได้ยิ้มออกมาแล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน

เจ้าหมอนี่มิเลว สามารถทำให้หยูเวิ่นเทียนเกลียดได้

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ประโยคนี้องค์ชายสี่เคยเอ่ยกับองค์ชายห้าเมื่อครั้งที่อยู่วัดฟูจื่อ

หยูยิ่นมองไปทางหยูเวิ่นเทียนแล้วตรัสว่า “หากเจ้าเปลี่ยนความคิดเสียบัดนี้ ข้าจะมิถือโทษเจ้า”

“เสด็จพ่อ การตัดสินใจลงมือในวันนี้ ลูกได้ไตร่ตรองและรอคอยมาถึง 8 ปี ดังนั้น…” หยูเวิ่นเทียนคารวะหยูยิ่นอีกครั้ง “ดังนั้นลูกหวังว่าเรื่องในวันนี้จะจบลงด้วยดี อย่าได้ให้มีเลือดไหลนอง เนื่องจากที่แห่งนี้คือสุสานหลวง คาดว่าบรรพบุรุษทั้งหลายคงมิอยากให้พวกเรารบกวนไปมากกว่านี้ เสด็จย่าก็ต้องการจะเสด็จขึ้นไปพบเสด็จปู่ อย่าได้พลาดเวลาเสด็จขึ้นสู่สวรรค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”

หยูยิ่นแสดงสีหน้าแห่งความผิดหวังออกมา จากนั้นคือความเด็ดขาด

“เช่นนั้น เจ้าจงตายเสียเถิด ! ”

เมื่อตรัสจบ ตำแหน่งที่ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ก็สั่นสะเทือน ที่บนพื้นคล้ายกับว่ามีกำแพงขึ้นมาขวางไว้ ในขณะเดียวกันหยูเวิ่นเทียนก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเอ่ยว่า “ฆ่า ! ”

กำแพงนั้นผุดขึ้นมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ขันทีเว่ยก็กระโดดขึ้นสู่กำแพง ฟู่เสี่ยวกวนโยนปล่อยชวงหานเยวี่ยหมิงและทลายกระดูก

ยาทั้งสองเม็ดนี้ระเบิดออกกลางอากาศแล้วกระจัดกระจายไปทั่ว ขันทีเว่ยนำมือที่กำดาบยาวไว้ขึ้นมาปิดจมูกแล้วฟันลงไปด้านหน้า ควันลอยฟุ้ง ดาบนั้นพุ่งตรงเข้ามาท่ามกลางหมอกควัน

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่กลับพบว่าขันทีเจี่ยที่อยู่ด้านหลังองค์ฝ่าบาท ขันทีผู้ที่ไร้ซึ่งพิษภัยคนนั้นเขาใช้นิ้วมือดีดดาบออกไป แขนข้างนั้นหดกลับไปในเสื้ออย่างรวดเร็วราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“แกร๊ง… !”

เสียงโลหะดังขึ้น และสะท้อนกลับมากังวานชัดเจน

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าขันทีเว่ยคล้ายกับถูกกัด เหมือนมีค้อนใหญ่ทุบเข้าที่ทรวงอกอย่างแรง

เขากระอักเลือดออกมาแล้วร่างกายก็กระเด็นออกไป…กำแพงยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนพบว่าทั้งสองข้างของทางเดินนั้นมีทหารยืนอยู่มากมาย !

ด้านขวาผู้ที่ยืนถือกระบี่เล่มยาวและอีกมือหนึ่งกำไหสุราไว้ เขาก็คือหัวหน้าราชองครักษ์ ฮั่วหวยจิ่นนั่นเอง !

ส่วนด้านซ้ายผู้ที่ยืนกวัดแกว่งดาบยาวไปมา ก็คืออดีตนายพลแห่งกองทัพใต้ที่ทำนาอยู่ ณ หนานหลิง เฟ่ยอัน !

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)