สรุปตอน ตอนที่ 243 กรงนก – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
ตอน ตอนที่ 243 กรงนก ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 243 กรงนก
พื้นที่ปิดตาย ภายในมีตะเกียงน้ำมันไม่กี่ดวง
เสียงต่อสู้จากด้านนอกยังคงดุเดือด แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้
หลายคนมีสีหน้าว้าวุ่น และมีอีกหลายคนที่ยังคงนิ่งเฉย
เฉกเช่นฮ่องเต้ พระสนมซั่ง และองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ว้าวุ่นแต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับหันมองไปทางฮ่องเต้ พระองค์ทรงยิ้มให้เขาเท่านั้น
“นี่คือกรงนก”
ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หลุดสีหน้างุนงงออกมา
“สิ่งที่เรียกว่ากรงนก มิใช่สถานที่ที่มีอิสระ แผนเดิมก็คือกักขังผู้บุกรุก ในตอนนี้กลับกลายเป็นที่ซุกหัวนอนของพวกเรา ดังนั้นทุกสิ่งอย่างย่อมมีสองด้าน”
ราวกับหยูยิ่นนึกถึงการต่อสู้ที่อยู่ด้านนอกขึ้นมาได้ แต่นั่นคือโอรสคนโตของเขา !
ดังนั้นใบหน้าจึงมืดครึ้มลง และกล่าวอีกว่า “ในทางตรงกันข้ามสำหรับเขาแล้ว แท้จริงแล้วเขาเองก็อยู่ภายในกรงนกเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต่อสนทนาหัวข้อนี้ กลับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หากมิได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
“มิมีทาง ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว แต่เขากลับไม่ทราบ ดังนั้นเขาจึงถึงวาระที่ต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว”
เยี่ยงนั้นแท้จริงแล้วเฟ่ยอันเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ ?
แล้วฝ่าบาทได้วางแผนให้ฮั่วหวยจิ่นเขามาในสุสานหลวงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
ขันทีเจี่ยสะบัดเพียงนิ้วเดียวก็ทำขันทีเว่ยที่เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งกระเด็นออกไปอีกทั้งยังกระอักเลือดออกมาอีก หรือว่าขันทีอาวุโสผู้นี้จะคือเซิ่งเจียที่เล่าขานกันมา ?
ใจของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความสงสัย เขาหันไปมองขันทีเจี่ย ขันทีอาวุโสในยามนี้ยืนค่อมตัวอยู่ทางด้านหลังฮ่องเต้ ทั่วร่างมิได้มีท่าทางของผู้สูงส่งเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็พบเจอเข้ากับปัญหา มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากของขันทีเจี่ย สีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียว หลังจากนั้น…
ทันใดนั้นขันทีเจี่ยก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยออกมาว่า “ยาแก้พิษ…เร็ว… !”
เวรแล้ว ขันทีเจี่ยโดนพิษ !
ฮ่องเต้ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็หันไปหาขันทีเจี่ย หลังจากนั้นก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน สายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง !
สองมือของฟูเสี่ยวกวนแบออก “ข้ามิมียาแก้พิษ !”
“อั๊ก…” ใบหน้าของขันทีเจี่ยเต็มไปด้วยความทรมาน เขายื่นมือที่สั่นเทาชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เจ้านี่…ไปเอาชวงหาน…เยวี่ย…หมิง…จากที่ใดมา…”
“ปึง… !”
หัวขันทีเจี่ยล้มลงกระแทกกับพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึง ลอบคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นเก่งกาจอย่างแท้จริง !
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ตายแล้วหรือไม่ ? ”
“มิตาย แต่จะสูญเสียพละกำลังทางการต่อสู้”
“สามารถแก้ไขได้เยี่ยงไร ? ”
“ต้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋านามซูเจวี๋ยเป็นผู้แก้พิษด้วยตนเอง”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว “โหยวเป่ยโต้วรึ ? ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า และตอบกลับเขามาว่า “น้องชายเขา ! ”
ให้ตายเถอะ แซ่โหยวนี้เก่งกาจยิ่ง มีเทพบู๊ถึง 2 คน เยี่ยงนั้นคำร่ำลือจากยุทธภพที่กล่าวว่ามีเทพบู๊ทั้งหกก็เป็นเท็จ เพราะมีถึงเจ็ดต่างหากมิใช่รึ !
ทันใดนั้นเสียงการต่อสู้ด้านนอกก็เบาลง แต่เสียงโอดครวญกลับดังขึ้นมาแทน คาดว่าเหล่าคนที่อยู่ด้านนอกก็คงโดนพิษเข้าให้แล้ว มีเพียงฮั่วหวยจิ่นที่ไม่ทราบว่ากำลังภายในนั้นเก่งกาจหรือไม่
ชวงหานเยวี่ยหมิงมีผลแค่กับคนที่มีกำลังภายในเท่านั้น ยิ่งกำลังภายในแข็งแกร่งเท่าใดก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเด็กสาวซูซูจึงบอกกับฟู่เสี่ยวกวนว่าท่านอาจารย์เป็นบุคคลที่อยู่ระดับสูง และเกือบจะตายเพราะชวงหานเยวี่ยหมิงของศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว
ผ่านไปหลายอึดใจ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกว่า “ทูลถวายฝ่าบาท โจรกบฏต้องถูกประณาม องค์ชายใหญ่…ต้องรับโทษประหาร ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังฮ่องเต้ที่กำลังลูบคลำกำแพง ทันใดนั้นกำแพงหินก็สั่นสะท้าน จนสุดท้ายก็พังทลายลงไป กลิ่นโลหิตที่คละคลุ้งลอยตีขึ้นจมูกในทันที
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตาคือแขนขาที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น โลหิตแดงฉานไหลเป็นทางยาวไปทั่วบริเวณราวกับทะเลโลหิต
เฟ่ยอันถือดาบด้วยมือเพียงข้างเดียวและเขาได้คุกเข่าลงไปกับพื้น ฮั่วหวยจิ่นที่ถือหอกยาวเอาไว้ในมือก็ได้ล้มลงไปกับพื้นทันทีที่ประตูหินเปิดออก
สีหน้าของเฟ่ยอันซีดเซียว เหงื่อบนใบหน้าผุดขึ้นมาราวกับกำลังวิ่งฝ่าพายุฝน
เขาขบกรามอย่างสุดชีวิต จ้องมองฝ่าบาทที่หมดกังวล และกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “กระหม่อม… โชคดีที่มิเสียหน้า ! ”
หลังจากนั้น…
หลังจากนั้น เป็นที่แน่นอนว่าเขาก็ล้มลงกับพื้นตามกันไป
สรุปได้ว่า ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งหมด มิมีผู้โชคดีแม้แต่คนเดียว ขันทีเว่ยผู้นั้นถูกมัดขึง อนาถเสียยิ่งกว่าฮั่วหวยจิ่นและคนอื่น ๆ เขาสลบไสลไปด้วยอาการน้ำลายฟูมปาก
แม้แต่เหล่าทหาร ถึงแม้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่มิมีผู้ใดสามารถยืนขึ้นมาได้เลยแม้แต่ผู้เดียว พวกเขาต่างโดนทลายกระดูก ในยามนี้จึงปวกเปียกราวกับแกะป่วยที่รอโดนเชือด
หยูยิ่นกลับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในใจครุ่นคิดว่าเพียงใช้ยาสองเม็ดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน ก็เหมือนจะมิจำเป็นต้องจัดการสิ่งอื่นใด สำนักเต๋านั่น…ฟู่เสี่ยวกวนโชคดีที่มีพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
“ฝ่าบาท พวกเราต้องออกไปพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้น…”
เขาอยากจะกล่าวเหลือเกิดว่ามิเช่นนั้นจะโดนพิษทลายกระดูกกันถ้วนหน้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ก็พบว่าร่างของพระสนมซั่งโอนเอน ฮ่องเต้รีบคว้าพระสนมซั่งมาโอบไว้ และตะโกนเสียงดังว่า “ถอยทัพ ! ”
แต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นกังวลกับทหารเฝ้าสุสานหลวง 2,000 นายที่อยู่ด้านนอก แต่ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า
จนกระทั่งได้ออกมาจากสุสานหลวง ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พบว่าหิมะด้านนอก ได้แดงฉานไปด้วยสายโลหิต ราวกับดอกเหมยที่กำลังเบ่งบาน
เยี่ยนซือเต้าสวมชุดเกราะและถือดาบเอาไว้ในมือ และได้ยืนอยู่เบื้องหน้ากองทหารองครักษ์นับพันด้วยท่าทีเคร่งเครียด
“เยี่ยงนั้นน้องชายของท่านอาเจ้าคือผู้ใดกัน ?”
“หึหึ สรุปแล้ว เขาสังหารห้าผู้ก่อกบฏ เกรงว่าจะได้เลื่อนขั้นแล้ว”
“……”
มีข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง วังหลวงมิได้มีรับสั่งตอบโต้ข่าวลือแต่อย่างใด ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวอย่างสนุกปากมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับรู้คำกล่าวเหล่านี้
สองวันนี้เขายุ่งเป็นอย่างมาก ยุ่งกับการช่วยเยี่ยนเป่ยซีจัดการเรื่องของราชสำนัก มิใช่เรื่องยิบย่อยของสิบสามกรมนั่น แต่เป็นเรื่องยุ่งยากภายในวังหลวง
ขุนนางจำนวนมากถูกจับเข้าคุก คนเหล่านี้ต่างเป็นคนที่ได้รับหน้าที่จากการยืมมือตระกูลเฟ่ย ตระกูลชือ หรือองค์ชายใหญ่
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้รับราชโองการลับจากฮ่องเต้และได้นำทหารปรี่เข้าไปหาพวกเขาเหล่านั้น คนเหล่านั้นเพิ่งจะได้ทราบว่าครานี้ได้พลิกคว่ำแล้วอย่างแท้จริง
มีคนร่ำร้องว่าถูกใส่ร้าย มีบางคนตะโกนว่าฟ้าไร้ตา แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น
เขาได้เป็นกระบี่ที่แหลมคมอย่างเต็มตัว !
และสำเร็จภารกิจเหล่านี้ด้วยความเย็นชา ผู้คนที่มีรายชื่อต่างถูกเขาจัดการไปในทันที และจวนของคนเหล่านี้ ก็ถูกทหารที่เขาพามาสั่งปิดด้วยเช่นกัน
จนถึงวันนี้ เดือนหนึ่งวันที่สามสิบ ในที่สุดเรื่องที่ยุ่งเหยิงนั่นก็ถูกจัดการเสียจนหมดแล้ว
ในขณะนี้เขานั่งอยู่ในศาลาเถาหรานของจวนฟู่ รอบข้างคือศิษย์ทั้งสามของสำนักเต๋า นอกจากนั้นยังมีต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลว
เมื่อครู่เขาได้บอกเล่าเรื่องราววันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่งกับพวกนางโดยละเอียด หลังจากที่ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอารามตกตะลึง เขาก็ยังได้กล่าวอีกว่าและเพราะเรื่องเหล่านี้จึงได้มีขุนนางหลายคนที่ได้กลายเป็นนักโทษ
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ มองไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่เปล่งประกาย แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยเห็น จินหลิงต้นยูคาลิปตัสเสียงนกขมิ้นยามฟ้าสาง ดอกไม้ศาลาริมแม่น้ำฉินหวายบานอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ได้กันว่าจะจางหายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ได้เห็นพวกเขาสร้างตึกที่งดงาม ได้เห็นเขาเลี้ยงฉลองกับแขกเหรื่อ และได้เห็นพวกเขาพังทลายลง”
ต่งชูหลานและคนอื่นที่ได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจเสียยาวเหยียด ลอบคิด ความรุ่งโรจน์ของตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ช่างเหมือนดังกับที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะกล่าวมาอย่างแท้จริง
สร้างตึกที่งดงาม เลี้ยงฉลองแขกเหรื่อ เคยยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด แต่กลับพังทลายในชั่วข้ามคืน !
นี่คือความไม่เที่ยงของชีวิต ดังนั้นจึงควรหวงแหนชีวิตในตอนนี้เอาไว้
“แล้วเหตุใดจึงเป็นกรงนก ข้าคิดว่าฟ้าดินก็คือกรงนก ประเทศก็คือกรงนก จวนนี้ก็คือกรงนก หากใจมิเป็นอิสระ เยี่ยงนั้นทุกอย่างก็คือกรงนก”
ดวงตาเรียวของต่งชูหลานเลิกขึ้น “เจ้าจะหมายความว่าจวนหลังนี้คอยดักเจ้าไว้งั้นรึ ข้า เวิ่นหวินและเสี่ยวโหลวคอยดักเจ้าไว้เยี่ยงนั้นรึ ? ”
“อ่า…ข้ามิได้จะหมายความว่าเยี่ยงนั้น ! ”
“เยี่ยงนั้นเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ความหมายที่ข้าจะสื่อคือ…หากไร้กรงในจิตใจ ดวงตาก็ย่อมไร้กรงเช่นกัน ! ”
ในขณะนั้นเอง ขันทีเจี่ยก็ได้เดินเข้ามาอย่างเลื่อนลอย เขามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างคับแค้นใจ แล้วกล่าวว่า “สงครามทางตะวันออกได้เริ่มขึ้นแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าวัง ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)