“เจ้าว่า…หากข้าฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ จะเป็นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นเขามาในหัว เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ ชือชือหรานก็ได้เดินมายังโต๊ะน้ำชา สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้พบว่าสตรีผู้นี้ก็ค่อนข้างน่าทึ่งเช่นกัน ในใจพลางคิดไปว่าองค์ชายยังคงอยู่อย่างสุขสบาย นี่มันเหมือนนั่งอยู่ในคุกตรงไหนกัน นี่มันสถานบำเพ็ญตนชัด ๆ มิใช่ใช่รึ !
“ข้ามีสิ่งนี้” ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก ในมือมียาพิษสีเขียวอยู่ 1 เม็ด นั่นคือชวงหานเยวี่ยหมิง
“แต่…” ฟู่เสี่ยวกวนเก็บยาพิษเม็ดนั้น และกล่าวอีกว่า “ต่อให้มิมีสิ่งนี้ พระองค์ก็สังหารกระหม่อมมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของหยูเวิ่นเทียนมิได้ผละไปจากตำราในมือ เขาพลิกหน้ากระดาษ และเอ่ยถาม “เจ้าดูมั่นใจเสียจริง ใครเป็นผู้มอบความเชื่อมั่นนี้ให้กับเจ้ากัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบ แต่เลือกมองจวนหลังนี้อย่างพิจารณา ค่อนข้างวิจิตร ต่างมีศาลาและของตกแต่งอย่างครบครัน เพียงแค่เมื่อเทียบกับจวนของหยูเวิ่นเทียน ย่อมมิอาจทัดเทียมได้ แต่ก็ถือว่าดีกว่าบ้านเรือนของผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
“ภายในสุสานราชวงศ์ ฝ่าบาทกล่าวว่านี่คือกรงนก ตามปกติย่อมหมายถึงการจำคุก แต่กรงนกกลับช่วยชีวิตพวกกระหม่อมเอาไว้ และทำให้พระองค์ล่มจม ที่ที่ฝ่าบาทประทับอยู่ในตอนนี้ ความจริงแล้วก็คือกรงนกเช่นกัน แต่มิเหมือนกับภายในสุสานราชวงศ์ คำว่ากรงนกในที่นี้มี 2 ความหมาย ประการแรกย่อมหมายถึงการจองจำ ประการที่สอง…ก็คือเพื่อปกป้องฝ่าบาท กระหม่อมจึงขอทูลถาม หายนะครานี้หนักหนาถึงเพียงนี้ พระองค์มิเหนื่อยที่ต้องแบกรับไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
หยูเวิ่นเทียนคิ้วขมวดทันพลัน เขาวางตำราในมือลง และเป็นคราแรกที่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตั้งใจ
ดวงตาพลันสบกัน นิ่งสงบไร้เสียง สตรีผู้นั้นชำเลืองสายตาขึ้นมาเล็กน้อย และเริ่มกังวลขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็พินิจหยูเวิ่นเทียนอย่างจริงจังเช่นกัน
คนผู้นี้คิ้วหนาดั่งกระบี่ ดวงตาราวกับดารา ใบหน้าผ่องใส ช่างคล้ายคลึงกับฮ่องเต้ยิ่งนัก !
“เจ้าเป็นคนแรกที่มาที่นี่เพื่อพบข้า” หยูเวิ่นเทียนกล่าวขึ้น เรียวคิ้วขมวดนิ่ว
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาและกล่าวยิ้ม ๆ “มิใช่กระหม่อมที่อยากมาเข้าพบพระองค์ แต่เป็นพระราชโองการจากฝ่าบาท กระหม่อมถึงได้มาเข้าพบพระองค์”
“เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่ กล่าวกับฝ่าบาทว่าข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้สบายดี นอกจากนั้นก็ขอบพระทัยที่ท่านให้โหรวอี๋เข้ามา ข้าสามารถใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่ที่นี่ไปได้ชั่วชีวิต อีกทั้งข้ายังสามารถมีหลานให้ท่านได้อีกหลายคน”
ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ ดูเหมือนนางจะมีนามว่าโหรวอี๋ เพียงแต่มิทราบว่าแซ่อะไร
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น และเม้มปากเล็กน้อย “สถานที่เยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วเป็นกระหม่อมที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบไปได้ชั่วชีวิต พระองค์มิสามารถทำได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เผชิญหน้ากับสายตาอันเฉียบคมของหยูเวิ่นเทียน คำพูดนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจว่าหยูเวิ่นเทียนมิใช่ผู้รับผิดแทน ตนได้คาดเดาผิดไปแล้ว คนผู้นี้ยังต้องการก่อกบฏอย่างแท้จริง
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ…เขามิสามารถก่อกบฏได้ !
หรือว่าจะมีการขัดแย้งกับผู้ใดอยู่ ?
หากหยูเวิ่นเทียนถูกตัดสินโทษในความผิดฐานก่อกบฏ ต่อให้เขาไม่ตาย ชั่วชีวิตนี้ก็มิสามารถออกมาจากประตูบานนี้ได้อีก
แต่ฮ่องเต้กลับมิได้สำเร็จโทษเขา !
ในทางตรงกันข้าม ฝ่าบาทยังต้องการใช้ประโยชน์จากเขา !
เยี่ยงนั้นองค์ชายใหญ่ก็มิสามารถก่อกบฏได้อีก และทำได้เพียงแบกรับความผิดเอาไว้ และที่ฮ่องเต้เลือกให้ฟู่เสี่ยวกวนมาจัดการ นั่นก็เพราะฝ่าบาทเชื่อมั่นว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าใจความหมายของเขา และเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถจัดการเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งเดียวที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจในตอนนี้คือเหตุใดฝ่าบาทจึงทำเยี่ยงนี้ !
“กระหม่อมเป็นนักวรรณกรรม พระองค์ก็คงจะทราบดี ดังนั้นแท้จริงแล้วกระหม่อมมิได้ชื่นชอบการต่อสู้ด้านนอกนั่นเท่าใดนัก…ตัวอย่างเช่น กระหม่อมที่ถูกลอบโจมตีอย่างลึกลับ และตัวอย่างเช่นเดิมทีตัวกระหม่อมอยากเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินที่ร่ำรวยในหลินเจียง แต่ก็ได้ทำบางเรื่องลงไป จึงต้องมาร้องขอชีวิตถึงเมืองหลวง และตัวอย่างเช่นกระหม่อมอีกที่ต้องการเพียงสั่งสอนคุณชายที่กระทำชั่วเท่านั้น แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นการยั่วยุฮุ่ยชินอ๋อง”
เขาชะงักไป ลำคอยื่นไปด้านหน้าเล็กน้อย “และตัวอย่างเช่นในตอนนี้ พระองค์ที่ทำเรื่องยุ่งยากนั่น ทั้งยังต้องให้กระหม่อมมาตามเช็ดตามล้างให้ !”
สายตาของหยูเวิ่นเทียนแข็งกร้าว ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนหรี่ลง ถ้วยชาที่แม่นางโหรวอี๋เพิ่งจะหยิบขึ้นมาตกลงไปกับพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้สายตาเย็นชาทั้งสองคู่สลายไปในฉับพลัน
หยูเวิ่นเทียนดึงสายตากลับไป และเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเหมย
ต่างก็เป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เขาเข้าใจความหมายการมาที่นี่ของฟู่เสี่ยวกวนได้คร่าว ๆ แล้ว
เขาขบเม้มริมฝีปาก หรือว่าเสด็จพ่อยังมีความกล้าอยู่เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ดึงสายตากลับมา และเม้มริมฝีปาก “กระหม่อมมิทราบว่าฝ่าบาทนำความกล้ามาจากที่ใด คาดมิถึงว่าจะปล่อยเสือกลับภูเขาโดยมิกังวลใจใด ๆ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นเทียนก็หันไปมองโหรวอี๋ สีหน้าอ่อนโยนลง เขากล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าไปนำสุรามา 2 ขวดเถอะ ข้าอยากจะดื่มสุรากับฟู่เสี่ยวกวนผู้เก่งกาจแห่งยุค ใช่ เขาคือฟู่เสี่ยวกวน ประเดี๋ยวเจ้าก็ไปนำความฝันในหอแดงเล่มนั้นของเจ้ามา ให้เขาลงนามให้เสีย ถือว่าทำตามความปรารถนาของเจ้า”
“เพคะ !”
สตรีนามโหรวอี๋เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ความปลื้มปีติผุดขึ้นมาบนใบหน้า ยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและเดินไปทางอาคารเล็ก
“แม่นางจากตระกูลใดกัน ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)