นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 287

ตอนที่ 287 ตำหนักเสียนฉิง

และเมื่อมีผู้คนมากมายได้มาแออัดอยู่ในห้องพักของฟู่เสี่ยวกวน ฝานเทียนหนิงเลยถือโอกาสเสนอความคิดเห็น “ยามนี้ฝนแห่งวสันตฤดูได้หยุดลงแล้ว หมู่จันทรานั้นพราวจรัสอยู่บนฟากฟ้า ข้ามีโอกาสได้เยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองฝานหนิงมาบ้างในระยะเวลาสองวันที่มาถึงที่นี่ ได้พบว่ามีที่แห่งหนึ่งสวยงามยิ่งนัก ที่แห่งนั้นเรียกว่าตำหนักเสียนฉิง ตัวตำหนักตั้งอยู่ริมแม่น้ำ จะดื่มชาหรือดื่มสุราแกล้มเสียงเพลงก็ย่อมเหมาะยิ่งนัก จะดีหรือไม่หากพวกเราไปนั่งผ่อนคลายที่นั่นกันเสียหน่อย ? ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าฝานเทียนหนิงช่างเป็นชายหนุ่มที่หลักแหลมเสียจริง ๆ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วคนทั้งคณะก็ได้เดินทางออกจากหอต้อนรับ โดยที่มีอู่หลิงจัดการให้รถม้าสองคันมารับคนกลุ่มนี้ไปตำหนักเสียนฉิง

ระหว่างหอต้อนรับและตำหนักเสียนฉิงนั้นมีระยะทางห่างกันพอสมควร ที่แห่งนั้นตั้งอยู่แถบชนบทของเมืองฝานหนิง

เมื่อลงจากรถม้าก็จะมองเห็นโคมไฟสีแดงอันมหึมา และมีเสียงซือจู่บรรเลงคลอออกมาให้ได้ยินอย่างแผ่วเบา

ตำหนักแห่งนี้ไม่มีคานประตู มีเพียงแต่หินรูปร่างแปลกประหลาดเท่านั้นอยู่ตรงบริเวณทางเข้า ด้านบนหินได้สลักตัวอักษรอันมหึมาไว้สามคำว่า “ตำหนักเสียนฉิง”

ฝานเทียนหนิงเดินเข้าไปยืนด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวนแล้วผายมือแนะนำสถานที่แห่งนี้ “ท่านพี่ฟู่โปรดอย่ามองเพียงแค่ที่แห่งนั้นอยู่ห่างไกล ทว่าด้านในนั้นครึกครื้นยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาว่าตำหนักแห่งนี้เป็นโรงผลิตกระบี่พิฆาตของคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนหนึ่งในห้าประหลาด ลือกันว่าที่เมืองกวนหยุนเองก็มีโรงผลิตกระบี่เยี่ยงนี้เช่นกัน ” ฝานเทียนหนิงมองไปทางอู่หลิง และนางก็พยักหน้าตอบเพื่อแสดงว่าสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวนั้นคือความจริงแล้วเอ่ยเสริม “ตำหนักเสียนฉิงแห่งเมืองกวนหยุนนั้นเดิมทีเคยเป็นเรือนประทับของทางราชสำนัก งดงามในระดับเดียวกันกับทะเลสาบสิบลี้ แต่มีชัยเหนือกว่าเพราะชื่อ ‘เสียนฉิง’…”

ฟู่เสี่ยวกวนได้โพล่งถามขึ้นมา

“ผู้ที่คลั่งกระบี่ก็ย่อมมุมานะในเรื่องของกระบี่สิ เหตุใดถึงได้มีกิจการเยี่ยงนี้มาด้วยเล่า ? ”

อู่หลิงหัวเราะร่าแล้วกล่าวตอบ “คราหนึ่งเป่ยหวังฉวนก็ได้ประเมินหนิงฝาเทียนเฉกเช่นเดียวกับท่าน เขาได้เอ่ยไว้ว่าขอเพียงแค่หมกหมุ่นอยู่กับความตั้งใจ เมื่อนั้นแล้วจะได้สุดยอดแห่งกระบี่พิฆาต ตำหนักเสียนฉิงนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แทนการหมกหมุ่นอยู่ในความตั้งใจของหนิงฝาเทียน ยี่สิบปีก่อนหนิงฝาเทียนได้พบพานกับคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ที่ทะเลสาบสิบลี้ เขาทึ่งในความสามารถของคนคลั่งภาพเหยียนหรูยูวี่ เขาจึงตามเกี้ยวนางอย่างไม่ยอมลดละ เนื่องจากนางนั้นเป็นคนรักสันโดษ หนิงฝาเทียนจึงยอมควัก 100,000 ตำลึงเพื่อซื้อเรือนประทับของทางราชสำนักแล้วต่อเติมเป็นตำหนักเสียนฉิง”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเพราะเขาคิดมาตลอดว่าคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนและคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่นั้นยังคงเป็นคนหนุ่มสาว แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวแล้วนั้น เหมือนว่าสองคนนั้นอายุได้ล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาได้เอ่ยถามต่อ “ในท้ายที่สุดคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนได้ครอบครองคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ผู้นั้นหรือไม่ ? ”

อู่หลิงพยักหน้าตอบ “หลังจากที่สองคนนั้นคบหากันได้เป็นปีที่สอง ในปีที่ตำหนักเสียนฉิงได้ต่อเติมเสร็จสมบูรณ์พอดี พวกเขาก็ได้เข้าพิธีวิวาห์ ปีถัดมาพวกเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายนามว่าหนิงซือเหยียน เมื่อลูกชายของเขาอายุได้ 3 ขวบเศษ เหยียนหรูยวี่ได้วาดผลงานชิ้นสุดท้ายของนางออกมา ผลงานนั้นมีชื่อว่าเป็ดหยวนหยางผู้เศร้าโศกา ลือกันว่านางได้ใช้เลือดและเนื้อของนางไปกับภาพวาดอันลือเลื่องนี้จนสิ้น เมื่อลายเส้นพู่กันสุดท้ายได้จรดลงภาพวาด เดิมทีนางอยากจะประพันธ์คำกลอนเพื่อบรรยายความงดงามของภาพ แต่ก็ทำมิสำเร็จเพราะนางได้ล้มป่วยและลาโลกลงในที่สุดด้วยวัยเพียง 22 ปี”

คนทั้งขบวนได้ชะงักฝีเท้าลง อู่หลิงเล่าจบก็พลันถอนหายใจยาวออกมา

“หลังจากที่คนคลั่งภาพเหยียนหรูยูวี่ได้ล่วงลับไป คลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนก็ได้ล้มเลิกการสร้างกระบี่ไป เขาได้เฝ้าหลุมศพของภรรยาอย่างเหม่อลอยอยู่ 15 ปี เฝ้ามองภาพวาดเป็ดหยวนยางผู้เศร้าโศกาอยู่ 15 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ได้กลับมาที่ตำหนักเสียนฉิงอีกครา และบัดนี้เขาได้กลับมาหมกหมุ่นอยู่กับการลับดาบร่วมปี ลือกันว่าเขานั้นเป็นกึ่งปรมาจารย์ไปแล้ว ส่วนบุตรชายของเขาหนิงซือเหยียนได้ถูกยกให้กับเจ้าโง่หลีมู่ป๋ายเมื่อตอนอายุได้ 7 ขวบ เมื่อฤดูหนาวปีกลายเขาได้กลับมายังเมืองกวนหยุนแล้วเปิดศึกกับบิดาที่ตำหนักเสียนฉิง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่บิดาของตน”

อู่หลิงถอนหายใจหนึ่งครา “ผืนปฐพีนี้ไร้ซึ่งคนคลั่งภาพ แต่ทว่าคนที่คลั่งในรสของสุรานั้นมีมากเหลือหลาย เมื่อหนิงซือเหยียนได้พ่ายแพ้ให้แก่บิดาของตนเขาก็ติดสุราอย่างหนัก วันไหนมิเมาก็จะมิยอมหลับนอน นับวันยิ่งดื่มมากขึ้นและยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาโปรดปรานสุราซานซีของท่านเป็นอย่างมาก แต่ทว่าสุรานี้กลับมีราคาแพงมหาศาลที่เมืองกวนหยุน และหนิงฝาเทียนเองก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะกำหราบบุตรชายตนได้ แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่แยแสบุตรชายหัวรั้นของตนอีกต่อไป ทว่ายิ่งนานวันทรัพย์สินยิ่งเหือดหาย ท้ายที่สุดหนิงฝาเทียนได้ยกตำหนักแห่งนี้ให้ฮวาจางกุ้ยแห่งทะเลสาบสิบลี้เป็นผู้ดูแล”

“ตำหนักเสียนฉิงเมื่อตกอยู่ภายใต้การดูแลของฮวาจางกุ้ยสภาพตำหนักก็เป็นอย่างที่เห็น ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำและไร้ซึ่งกลิ่นอายของความรักและความซื่อสัตย์ที่หนิงฝาเทียนมีต่อเหยียนหรูยวี่เพราะตั้งแต่ที่นางได้ล่วงลับไป ผืนปฐพีนี้ก็มิมีตำหนักเสียนฉิงอีกต่อไป ”

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความหลงใหล นางทั้งสองรู้สึกนับถือในความมุมานะของหนิงฝาเทียน และรู้สึกเสียดายแทนหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ในการวาดภาพเฉกเช่นเหยียนหรูยวี่ พวกนางต่างก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อหนิงซือเหยียนบุตรชายของพวกเขาทั้งสอง

ชายหนุ่มคนนั้นเพิ่งจะอายุ 17 ปี แต่กลับติดสุราเมามาย เกรงว่าจะเสียคนไปเสียแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบลงและไม่ซักไซ้อีกต่อไป คนทั้งคณะได้เดินเข้าไปในตำหนักเสียนฉิง ภายใต้การนำทางของเสี่ยวเอ้อที่แต่งตัวดูดีและน่าดึงดูด พวกเขาได้เดินผ่านป่าไผ่เขียวขจีและเข้าไปในอาคารที่ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา

ที่แห่งนี้เป็นสวนลูกแพร์

และอาคารแห่งนี้ได้สร้างอยู่ท่ามกลางสวนลูกแพร์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)