นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 3

สรุปบท ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา... นับไม่ถ้วน: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา... นับไม่ถ้วน – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา... นับไม่ถ้วน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา… นับไม่ถ้วน

จวนฟู่ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตรอกซีชุ่ยในเมืองหลินเจียง

จวนที่นี่ใหญ่โตแทบจะทุกหลัง ผู้ที่อยู่ที่นี่ต่างได้ชื่อว่าเป็นคหบดีแห่งเมืองหลินเจียง

มิได้เจริญรุ่งเรื่อง แต่ร่ำรวยและยังมีพื้นที่เกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์มากนัก

ฟู่ต้ากวนนำฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้า โดยมีชุนซิ่วเป็นผู้ติดตามไปด้วย พ่อบ้านอี้หยู่ได้เตรียมทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในครานี้ไว้เพียบพร้อมแล้ว รถม้าทั้งหมด 10 คันอีกทั้งองครักษ์ 50 คน กำลังเดินเท้าเข้าสู่ปากทางตรอกซีชุ่ย มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียยิ่งนัก

ฟู่ต้ากวนและฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามกัน ใบหน้าท้วมของเขาเผยสีหน้าเศร้าใจเล็กน้อย

“เป็นมารดาของเจ้าที่ให้ข้าแต่งงานอีกคราหลังจากที่นางจากไป นางกล่าวว่ายามที่ข้าแก่ไปจะได้มีเพื่อน… เพียงแต่นางกล่าวไว้ว่าจะดีที่สุดหากไม่มีบุตรอีก นางกังวลว่าหากข้าแต่งงานใหม่ ให้กำเนิดบุตรชาย แล้วจะไม่รักเจ้าอีก หรือหากเจ้าสาวคนใหม่มีบุตรแล้วจะรังแกเจ้าได้”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มรับบาง ๆ ฟู่ต้ากวนจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “แม่รองของเจ้านั้นตั้งครรภ์แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายไปบ้าง แต่ในภายภาคหน้าตระกูลฟู่ย่อมส่งมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้กังวลเลย”

“…ท่านพ่อ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”

“อันใดรึ”

“ข้าต้องการจะกล่าวว่า จวนใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งความสามารถของท่านยังดีเยี่ยม รูปลักษณ์รูปร่างของท่านเองก็มิได้ด้อยเลยแม้แต่น้อย ความจริงข้าคิดว่าท่านยังมีน้องชายและน้องสาวให้ข้าได้อีกสองสามคนเสียด้วยซ้ำ”

ตามที่กล่าวไว้ในนิยาย ที่บ้านใหญ่ บ้านรองและบ้านที่สามจะต่อสู้กันเพื่อทรัพย์สินจนถึงแก่ชีวิต ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อว่ายังคงมีอยู่ตามนิยาย แต่เขาก็ปรารถนาที่จะทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง ในส่วนของการต่อสู้นั้น… การต่อสู้จะทำให้ผู้คนก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพียงแค่ควบคุมไว้ได้ก็ดี มิใช่เรื่องมิดีอันใด

สิ่งที่เขาต้องทำก็คือศึกษาให้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ตระกูลฟู่มีบุคคลที่มีพรสวรรค์มากพอจะใช้งานได้ แต่ไม่เหมือนกับในเวลานี้ การไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในวันหยุดเป็นเรื่องที่ผู้เป็นนายยังต้องไปด้วยตนเองอีกหรือ

ฟู่ต้ากวนหันร่างมาและจ้องบุตรชายเขม็ง “เจ้าคิดเยี่ยงนั้นจริงรึ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ฟู่ต้ากวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยว่า “แต่ว่า… ในอดีตยามที่เจ้ารับรู้ว่าแม่รองของเจ้าตั้งครรภ์ เจ้าแทบจะรื้อจวนได้ เจ้ากลับโวยวายขับไล่ฉีชื่อออกจากบ้าน”

อ่า ฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าผาก “เรื่องในอดีต บางเรื่องข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่ในตอนนี้ข้าคิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ ”

ฟู่ต้ากวนนั่งตัวตรง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หยุนชิงที่อยู่บนฟ้า บุตรชายของข้า… เขารู้ความแล้ว”

หยุนชิงย่อมเป็นมารดาของฟู่เสี่ยวกวน เป็นความทรงจำอันเลือนรางที่ยังคงอยู่ของฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าและกล่าวว่า “หากการเดินทางครั้งนี้จบลง ข้าอยากไปกราบท่านแม่”

“ย่อมได้ ย่อมได้ มารดาของเจ้าจักต้องยินดีเป็นแน่”

บิดาและบุตรชายยังคงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ฟู่ต้ากวนมั่นอกมั่นใจแล้วว่าบุตรชายนั้นไม่ได้กลายเป็นคนโง่ แต่เปลี่ยนแปรเป็นคนที่รู้ความ เปลี่ยนแปรเป็นมีสติและฉลาด และเปลี่ยนแปรเป็นน่าเชื่อถือ

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเยี่ยงนี้ ทำให้ฟู่ต้ากวนคิดว่ากำลังอยู่ในความฝัน และไม่สามารถปรับตัวได้ในทันที

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้มีท่าทีที่เป็นธรรมชาติเกินไป

เป็นคราแรกที่เขาได้คุยกับผู้อื่นมากมายขนาดนี้ นั่นย่อมทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย

ความอ่อนล้านั้นเกิดจากตัวตนของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป ในอดีตเขามักจะครุ่นคิดกับการคำนวณและการกระทำบางอย่าง สิ่งที่เขาทำในตอนนี้คือการสื่อสารรวมไปถึงการเจรจาทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ แต่เมื่อมาเกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ต่อจากนี้จะต้องควบคุมกิจการที่ใหญ่โต แน่นอนว่าเขานั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง

ด้วยความคุ้นชินของชีวิตนับสิบปีของชีวิตก่อน มันค่อนข้างยากสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนแปลงในทันที

ในตอนนี้เหมือนว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก การสนทนากับบิดาที่ยังไม่คุ้นชินนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ว่าวิธีการพูดคุยนั้นยังคงไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่นัก รวมไปถึงบางคำที่เขาเผลอโพล่งออกมา ฟู่ต้ากวนมักจะถามเสมอ ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไร

“ตระกูลของเราดำเนินกิจการด้านใดบ้าง”

“ส่วนสำคัญคือที่ดิน ทุ่งนาที่มีอยู่มากมาย นอกจากนั้น… มีกิจการเล็ก ๆ ที่หลินเจียง แต่ไม่ใช่การค้าธัญพืช เป็นโรงเตี๊ยมยวี่ฝูจี้ที่มารดาของเจ้าเคยทำ ตอนนี้ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ เพียงแค่ไม่ได้ขยายขอบเขตออกไป”

“ยวี่ฝูจี้หรือ มิใช่สวี่ฝูจี้รึ”

“ถึงแม้มารดาของเจ้าจะแซ่สวี่ แต่นามที่มอบให้นั้นคือยวี่ฝูจี้ มารดาของเจ้ากล่าวว่า มีร่มเงาอยู่ในบ้าน มอบความสุขให้แก่คนรุ่นหลัง แน่นอนว่าเป็นมารดาของเจ้าที่คิดมาก ความจริงแล้วมันถูกส่งต่อให้แก่เจ้า นางกลัวว่าหลังจากที่นางจากไปแล้วเจ้าจะถูกแม่รองรังแก นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ยังคงจะทำเยี่ยงนั้น”

ใบหน้ามารดาของฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมา มารดาทุกคนบนโลก ต่างใช้แรงใจในการผ่านความยากลำบาก เขาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่หมดหนทางจะตอบแทน เช่นนั้นมาดูแลยวี่ฝูจี้แห่งนี้เสียดีกว่า เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของมารดา

“ท่านพ่อไปพบยวี่ฝูจี้ที่ใด ทำอาชีพอะไรกัน”

“สองเดือนผ่านมาแล้ว แต่นางยังไม่ได้จากไป กล่าวกันว่ายังไม่เป็นไปตามที่นางปรารถนา แต่หลายวันที่ผ่านมานี้นางไม่ได้พูดคุยกับพ่อค้า แต่กลับไปพบบัณฑิตในหลินเจียง ทั้งยังจัดชุมนุมบทกวี จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่สำนักศึกษาหลินเจียง บัณฑิตที่มีพรสวรรค์ของหลินเจียงต่างไปกันเกินครึ่ง กลายเป็นที่รู้จักในนามการชุมนุมครั้งใหญ่ของหลินเจียง เพียงแต่ถือเป็นการหักหน้าสำนักศึกษาป้านชานไปเสีย”

มองใบหน้าที่ยังสับสนของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนก็หัวเราะขึ้นมา “ล้ำลึกสิ… การลงมือนี้ล้ำลึกมากอย่างแท้จริง”

“หมายความว่าเยี่ยงไร”

“สี่พ่อค้าผ้ารายใหญ่แห่งหลินเจียง มีจางจี้ ชวูจี้ หลิวจี้ทั้งยังมีตระกูลหวง จางจี้นั้นใหญ่ที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในการค้าผ้าของหลินเจียง ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการเจรจาในครั้งนี้ด้วย แต่เบื้องหลังของสำนักศึกษาหลินเจียงก็คือหลิวจี้ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาป้านชานก็คือจางจี้”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกขึ้นมาได้ “นี่คือการดันหลิวจี้เพื่อเหยียบจางจี้ การปล่อยรถม้าอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ ดั่งบทเพลงที่ไร้เสียง ดั่งฟ้าร้องที่ไร้ฝน นี่คือการรุกฆาตกองทัพของจางจี้ ต้องรอดูว่าจางจือเซ่อจะตอบโต้เยี่ยงไร… ตามที่พ่อลอบสังเกต พันธสัญญาการค้าผ้าทั้งหมดของจางจือเซ่อถึงคราวพังทลายแล้ว ถึงเวลาลงสนามตามลำดับ หากเป็นเยี่ยงนั้น ราคาผ้าจะลดลงมาถึง 3 ส่วน”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด และเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “แล้วการค้าธัญพืชเล่า”

“สามพ่อค้าใหญ่แห่งหลินเจียง หยางจี้ ฟ้านจี้ และเหยาจี้ จากการมองในยามนี้ ขุนนางท่านนั้นไม่ได้ติดต่อกับพ่อค้าธัญพืชมากนัก ส่วนใหญ่ยังคงวางอยู่ที่พ่อค้าผ้าเป็นส่วนมาก หากการค้าผ้าสะดุด การค้าธัญพืชก็จะสะดุดตาม นี่ค่อนข้างจะเกินจริงไปบ้าง ท้ายที่สุดกำลังทรัพย์ของเสนาบดีกรมคลังก็ใหญ่ ทั้งทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งยังต้องส่งเข้าท้องพระคลัง กำไรย่อมมีเป็นแน่ แต่อำนาจในการกำหนดราคาอยู่ในการควบคุมของขุนนาง”

“เชือดไก่ให้ลิงดู”

“ความหมายก็ประมาณนั้น”

“เหตุใดพวกเราจึงไม่ขายธัญพืชด้วยตนเอง”

ฟู่ต้ากวนยกยิ้ม ใบหน้านั้นดูภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด

“หลินเจียงที่ใหญ่โต ธัญพืช 10 ส่วน ตระกูลฟู่ของเราผูกขาดไปแล้ว 2 ส่วน อีก 8 ส่วนก็แจกจ่ายให้อีกพันครัวเรือนในหลินเจียง… ตระกูลเราไม่ใช่พ่อค้าธัญพืช เมื่อมีธัญพืชย่อมมีพ่อค้าเป็นธรรมดา และด้วยราคาของธัญพืชในหลินเจียง ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ผู้กำหนดราคา แต่มันก็จะมีอิทธิพลในตัวมันเอง”

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับขมวดคิ้วนิ่ว แล้วเอ่ยถาม “ตระกูลของเรามีทุ่งนาเท่าใดกัน”

ฟู่ต้ากวนหันหลังกลับเปิดปากกล่อง และหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากข้างใน ส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “จากการเดินทางในสิบกว่าวันนี้ ทุ่งนาที่ผ่านและเห็นทั้งหมด ล้วนเป็นของตระกูลเรา”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอย่างมาก หยิบหนังสือเล่มเล็กนั้นมาแต่ยังไม่ทันได้เปิด ก็เอ่ยถามว่า “ถ้าหากคุณหนู… แม่นางผู้นั้นมาหาท่าน จะจัดการเยี่ยงไรกัน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)