ตอนที่ 4 เรือนซีซาน
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปชั่วครู่ เขาถือหนังสือไว้ในมือแต่มิได้เปิดออก ก่อนจะเอ่ยว่า “หากคุณหนู….แม่นางผู้นั้นมาหาท่าน จะจัดการเยี่ยงไรกัน ?”
ฟู่ต้ากวนยิ้มจาง ๆ “ดังนั้นข้าจึงออกมาซ่อนตัวอย่างไรเล่า เรื่องตบหน้าคนแบบนี้ คนอื่นอาจชื่นชอบ แต่พ่อของเจ้ามิใช่คนเยี่ยงนั้น”
เขายืดร่างกายให้ตรง คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเกิดความสงสัย “ยุ้งฉางสำคัญของชาติอยู่ที่เจียงหนาน เจียงหนานมีดินที่อุดมสมบูรณ์ และภูมิอากาศที่เหมาะสม นับตั้งแต่มีการก่อตั้งราชวงศ์หยู พื้นที่บริเวณนั้นก็สามารถทำการปลูกข้าวในไร่หมุนเวียนได้สำเร็จ สามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละ 2 หน แม้ว่าผลผลิตจะไม่มากเท่าเจียงเป่ย แต่ผลผลิตโดยรวมมากกว่าหกเจ็ดส่วน”
“ที่ท่านผู้นั้นเดินทางมาที่หลินเจียงในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการรับพ่อค้าธัญพืชหลินเจียงไปเป็นพ่อค้าหลวง…… เกรงว่าเรื่องนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับสงครามทางเหนือ”
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่มีข้อมูลนี้อยู่ เขาเอ่ยถามว่า “ทางเหนือมีสงครามงั้นหรือ?”
“ยังไม่เริ่มหรอก เมื่อก่อนบรรดาชาวฮวงทางเหนือที่อาศัยบนหลังม้า เร่รอนอยู่ในทุ่งหญ้าหลายพันลี้ แต่ทว่าหลังจากก่อตั้งราชวงศ์หยูได้ 3 ปี พวกมันก็ได้ปักหลักอยู่ที่ทางเหนือของด่านเยี่ยนซาน จวบจนปัจจุบันนับสิบปี จากคำบอกเล่าของพวกพ่อค้าคาราวาน ฝั่งนั้นได้ก่อตัวเป็นเมืองขึ้น ชาวฮวงขนานนามเมืองนั้นว่าซ่างตู เป็นเมืองหลวงของประเทศฮวง”
“ทางเหนือของด่านเยี่ยนซานเคยเป็นที่รวมตัวของชาวฮั่น แต่เดิมเป็นสถานที่ที่ชาวฮั่นและชาวฮวงใช้เป็นพื้นที่ในการค้าขายร่วมกัน แต่การตั้งถิ่นฐานของชาวฮวง ทำให้สถานที่ค้าขายแห่งนี้ถูกทำลายไป ชาวฮวงมีนิสัยโหดร้าย ไม่รู้จักการทำไร่นา รักในการปล้นจี้ ไท่เหอปีที่สิบสาม ชาวฮวงเคยลงใต้มาทำลายด่านเยี่ยนซาน พวกเขาปล้นสะดมและฆ่าทหารจนมาถึงเมืองซินโจวซึ่งเป็นเมืองเอกของทางเหนือ และพ่ายแพ้ให้แก่กองทหารสามหมื่นนายที่นำโดยผู้บัญชาการกองทัพ”
“หลังจากผู้บัญชาการกองทัพเผิงจัดการกับชาวฮวงจนสิ้นซากแล้ว ก็ได้เดินหน้าไปทางเหนือเพื่อออกทำลายล้างชาวฮวงเป็นเวลา 3 ปี กระทั่งผู้นำของชาวฮวงยอมเขียนจดหมายยอมแพ้ และยกย่องราชวงศ์หยู พร้อมให้สัญญาว่าจะไม่ย่างกรายข้ามเขตแดน ด้วยเหตุนี้ผู้บัญชาการกองทัพเผิงจึงได้เรียกกองทัพกลับใต้ จากเหตุการณ์ครานั้น ชาวฮวงก็ทำตามสัญญา สองราชวงศ์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขมานับสิบปี”
“แต่บัดนี้……มีคำพูดต่อกันมาว่าชาวฮวงเริ่มมีการเคลื่อนไหว อีกทั้งหยุดส่งส่วยเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เกรงว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
ฟู่ต้ากวนลูบเคราของเขาแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา ชาวฮวงเปรียบเสมือนไก่ดินเผาสุนัขกระเบื้อง[1] ทหารของเรามีมากมาย สามารถทำให้ชาวฮวงพังพินาศได้โดยง่าย เพียงแต่การก่อสงครามจะสิ้นเปลืองอาหารไม่น้อย หลายปีมานี้ราชวงศ์หยูแม้จะมีข้อพิพาทกับราชวงศ์อู่ทางใต้ ประเทศอี๋ทางตะวันออก และประเทศฝานทางตะวันตก แต่ก็หาได้มีการรบราครั้งใหญ่ไม่ เงินในคลังยังมีล้นเหลือ การเดินทางมาเยือนครั้งนี้ เป็นเพียงการป้องกันเท่านั้น หากสำเร็จก็นับเป็นความสามารถของนาง หากไม่สำเร็จ ใครกันจะเอาผิดกับเด็กสาวคนหนึ่ง”
คำกล่าวนี้สมเหตุสมผล
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่รู้จักโลกในตอนนี้เท่าไรนัก จึงมิได้เอ่ยความคิดใดออกมา เขาก้มหน้าเปิดหนังสือที่ถืออยู่ในมือ
นี่คือบันทึกที่ดินทั้งหมดของเศรษฐีที่ดิน และรายชื่อผู้เช่าพื้นที่ทั้งหมด
ตัวหนังสืออีกและตัวเลขเรียงรายนับไม่ถ้วน ฟู่เสี่ยวกวนมองแล้วตาลายแต่ก็อ่านต่อไป อย่างไรเสีย……บรรดาพื้นที่พวกนี้อีกทั้งประชากรที่อาศัยในที่ดิน ก็เป็นของเขาทั้งหมด!”
ขบวนรถเดินทางออกจากเมืองหลินเจียง ย่ำไปบนถนนที่ไม่กว้างและขรุขระ ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังนอกหน้าต่าง เห็นชาวนากำลังวุ่นอยู่กับการปลูกข้าว แล้วมองไปในพื้นที่สูงขึ้นห่างออกไปอีกเล็กน้อย รวงข้าวสาลีได้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ลมพัดเป็นคลื่นพลิ้วไหว ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง
……
……
ขบวนรถหยุดลงทุกครั้งที่ผ่านหมู่บ้าน ฟู่ต้ากวนและฟู่เสี่ยวกวนจะลงไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านเรื่องการเก็บเกี่ยวและมอบของขวัญแก่พวกเขา เช่น บ๊ะจ่าง เนื้อหมูและลูกกวาดเป็นต้น
ฟู่เสี่ยวกวนติดตามบิดาของเขามา ตลอดการเดินทางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เมื่อบิดาแนะนำตัวเองแก่หัวหน้าหมู่บ้าน เขาจะลุกขึ้นและทักทายด้วยความเคารพ
เหตุนี้ทำให้บรรดาผู้คนรวมไปถึงผู้ดูแลที่ติดตามมาทั้งสองคน เช่นอี้หยู่และจูตัวต่างพากันตกตะลึง บรรดาหัวหน้าหมู่บ้านที่เคยได้ยินเรื่องราวของนายน้อยมาบ้าง เมื่อได้พบเห็นด้วยตนเอง จึงได้เข้าใจว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น
นายใหญ่นั้นเป็นคนดีมาก ส่วนนายน้อยมองไปแล้วก็ไม่เลว สำหรับบรรดาหัวหน้าหมู่บ้านนั้นนับว่าดีทีเดียว
เนื่องจากบรรดาชาวบ้านทั้งหลายเหล่านี้ต้องพึ่งพาอาศัยบ้านตระกูลฟู่ เมื่อเห็นเช่นนี้ คงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขึ้นในเวลาไม่ช้านี้แน่นอน
พวกเขาเดินหน้าต่อไปกระทั่งถึงเวลากลางวัน ขบวนรถหยุดพักลงกลางหุบเขา
ผู้ดูแลจัดการหุงหาอาหาร ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นเดินไปยังลำธารเพื่อล้างหน้า
เมื่อลมจากหุบเขาพัดผ่าน ได้พัดพาความเย็นมาด้วย ความร้อนในร่างกายก็ถูกพัดไปกับสายลม
ผู้รับใช้นำเก้าอี้ไม้ 2 ตัวลงมาจากหลังม้า สองพ่อลูกลงนั่งพร้อมกันแล้วดื่มน้ำ
“เหตุใดไม่กินข้าวในหมู่บ้าน?”
“อย่างไรเสียก็มีความแตกต่างกันทางฐานะ อีกอย่าง ของกินเหล่านั้น……ไม่อร่อยเท่าไรนัก”
ในสมองฟู่เสี่ยวกวนปรากฏภาพบรรดาชาวบ้านขึ้นมา
มีเด็กเนื้อตัวมอมแมมซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของกระท่อม เพื่อแอบดูพวกเขา ในขณะที่ชายชราที่เดินแทบจะไม่ไหวนั่งจับเจ่าอยู่ใต้กำแพงดินและอาบแดด
นอกจากเสียงสุนัขที่เห่ายามพวกเขาเดินทางไปถึงแล้ว เวลาอื่นล้วนเงียบสงบ ในหมู่บ้านนอกจากเด็กและคนชราแล้ว ไม่ปรากฏผู้อื่น เนื่องจากหนุ่มสาวได้ออกไปทำงานที่ทุ่งนา
พวกเขาดำรงชีวิตเช่นนี้ตลอดมา ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่าการเพาะปลูก ส่วนเรื่องเทศกาลตวนหวู่นั้น……หากยังไม่สามารถอิ่มท้องได้ จะใส่ใจเทศกาลตวนหวู่นี้ไปทำไม
“พวกเขาช่างลำบากเสียจริง”
ฟู่ต้ากวนมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยความแคลงใจ
“ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านได้ 2 ส่วน จ่ายภาษีทางกลาง 3 ส่วน ตระกูลฟู่ได้ 5 ส่วน……เหตุใดจึงว่าพวกเขาลำบาก?ตระกูลฟู่แบ่งให้ผู้เพาะปลูกมากกว่าตระกูลอื่นครึ่งส่วนแล้ว หากพวกเขาตั้งใจเพราะปลูกและเก็บเกี่ยว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องข้าวปลาอาหาร”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต่อปากต่อคำกับฟู่ต้ากวนในเรื่องนี้ เขาเป็นเพียงคนนอก และไม่เข้าใจว่า 2 ส่วนที่กล่าวนั้นมากน้อยเพียงใด
“ข้าเพียงแค่เอ่ยไปตามความรู้สึกเท่านั้น มิได้จริงจัง”
“ความเห็นใจผู้อื่นนั้นมีได้ แต่ควรมีขอบเขต ลูกชายข้า พวกเราคือเจ้าของที่ดินและที่ดินเหล่านั้นเราใช้ทรัพย์สินเงินทองหาซื้อมา ไม่ต่างจากการทำการค้าแต่อย่างใด เมื่อลงทุนก็ควรได้ผลกำไร พวกเรามิใช่นักบวชผู้ใจบุญ แต่หากเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติขึ้น พวกเราเองก็ได้แบ่งปันสิ่งของเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือผู้คน ปีนี้มองแล้วคงไม่เลว พวกเขามีผลผลิตสามถึงห้าถัง พวกเราเองก็มีผลผลิตเพิ่มสามถึงห้าถังเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า
เขาลุกขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสาย และหยุดลงในทันใด เขามองไปยังไหล่เขาที่ไกลออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)