เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตำรานี้จะเป็นเล่มหนาเตอะ แต่คาดมิถึงว่าเมื่อเหวินสิงโจวยื่นให้เขานั้นกลับเป็นเพียงเล่มบาง ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น
เขารับมาแล้วดูที่หน้าปก พบว่ามีตัวอักษรเขียนไว้
หลี่อี้เฟินจู !
ใช้กฎเกณฑ์ในการปกครอง !
เขาตกตะลึงเล็กน้อย หลี้อี้เฟินจูนี้เป็นหัวข้อสำคัญในราชวงศ์หมิงเมื่อชาติที่แล้ว ชายชราผู้นี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่ ช่างมิธรรมดาเสียจริง
จากนั้นเขาก็เปิดไปที่หน้าแรก หน้าที่หนึ่งนี้มีหัวข้อว่า หลี่ เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่ง
“หลี่คือฟ้าดิน คือรากฐานของมนุษย์ ! สิ่งที่เรียกว่าหลี่ ก็คือนิสัยของมนุษย์ นิสัยนับว่าเป็นหลี่ สิ่งนี้มีเพียงในมนุษย์ จึงได้เรียกว่าเป็นนิสัย”
“นับแต่โบราณกาล จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก่อตั้งสำนักศึกษาขึ้น เพื่อสั่งสอนผู้คนทั่วหล้า…เพื่อลบล้างความบาปในตน ลบล้างความโลภ เพื่อดึงกลับมายังนิสัยเดิมของมนุษย์ จากนั้นพวกเขาจึงจะนึกถึงตนเอง”
“แต่โบราณกาล บิดาและบุตรนับเป็นสายเลือดเดียวกัน จักรพรรดิและขุนนางต้องมีความชอบธรรม สามีภรรยามีความผูกพัน พี่น้องมีลำดับ สหายมีความเชื่อใจ เช่นนี้คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่…”
ฟู่เสี่ยวกวนอ่านข้อความเหล่านั้นทีละตัว สีหน้าของเขาปรากฏความสงสัยขึ้น และเหวินสิงโจวเองก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนเขม็งเช่นกัน เขามิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าชาที่รินไว้ได้เย็นชืดเสียแล้ว
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างช้า ๆ เหวินซีรั่วเดินนำหน้าบรรดาบ่าวรับใช้ถืออาหารเข้ามายังห้องหนังสือ
นางรู้ดีว่าในเมื่อท่านปู่เชิญฟู่เสี่ยวกวนมายังจวน ทั้งสองคงมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกันเนิ่นนานอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกวีและบทความ เกรงว่าคงมิมีเวลาไปกินที่ห้องอาหาร
ผู้ที่มากับนางด้วยนั้นยังมีท่านพ่อของนาง เหวินชังไห่
เหวินชังไห่เมื่อรู้ว่าบุตรสาวลงมือทำอาหารด้วยตนเอง ก็เดาได้ว่าท่านพ่อน่าจะเชิญผู้มีชื่อเสียงมายังจวนอย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเหวินซีรั่วกล่าวว่าคือฟู่เสี่ยวกวน เขาก็ได้พยายามระงับอารามตื่นเต้นไว้แล้วตัดสินใจเดินทางมาร่วมรับประทานอาหารกับท่านพ่อที่ห้องอักษรด้วย
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา จึงพบว่าฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนเหวินสิงโจวนั้นมิได้มีท่าทางภูมิใจเช่นทุกที แต่กลับแสดงความกังวลออกมาแทน
เหวินซีรั่วรู้สึกว่านี่ช่างประหลาดยิ่ง นางลอบนึกในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้อายุเพียงน้อยนิด จะเก่งกาจกว่าผู้อาวุโสเช่นท่านปู่ได้เยี่ยงไร ?
เหวินชังไห่ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขาเดินมาหยุดยังข้างโต๊ะแล้วนั่งลงเบา ๆ เหวินสิงโจวจ้องเขาตาเขม็ง เขายิ้มตอบกลับไปจากนั้นจึงเอื้อมมือไปจับกาน้ำชา จึงได้พบว่าน้ำชาในกานั้นเย็นชืดเสียแล้ว
นับจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมายังโลกนี้เป็นเวลาหนึ่งปีกว่า นี่เป็นคราแรกที่เขาตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงจัง
เนื้อหาตำราเล่มนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงความคิดอันชาญฉลาดของคนในยุคโบราณ และเขายังรับรู้ได้ถึงแนวคิดอันยิ่งใหญ่ของเหวินสิงโจว
ความคิดเหล่านี้คล้ายคลึงกับจูซีในโลกที่แล้วของเขา แต่เหวินสิงโจวได้ทำการสรุปเรื่องการปกครองไว้ด้วย เขานำหลี่กับกฎรวมเข้าด้วยกัน แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังมิสมบูรณ์ แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังมิราบรื่น แต่ก็นับว่ามาถูกทางแล้ว !
แม้ว่าในตำรานี้จะยังคงหลงเหลือแนวคิดเกี่ยวกับตำราศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง และยังคงให้ความสำคัญกับกฎทั้งสาม มรรคทั้งห้า แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นเพราะการเรียนรู้ตำราศักดิ์สิทธิ์ฝังรากอยู่ในใจของมนุษย์มาช้านาน จึงมิอาจลบออกไปได้ง่าย ๆ แม้แต่ผู้รู้หนังสือจำนวนมากก็มิสามารถหลุดพ้นจากกรอบนี้ได้
อย่างน้อยเหวินสิงโจวก็ได้ก้าวข้ามออกมาแล้วบางส่วน เขาได้เห็นหลี่เสวียอยู่เบื้องหน้าธรณีประตูแล้ว นับว่าเหวินสิงโจวใกล้จะเอื้อมถึงมันเข้าเต็มที
หากเขาพยายามผลักเข้าไปอีกหน่อย คาดว่าประตูบานนั้นก็จะเปิดออกได้ง่าย ๆ
เมื่อเขาอ่านจนไปถึงบรรทัดสุดท้ายก็ได้เงยหน้าขึ้นแล้วลุกขึ้นโค้งคำนับเหวินสิงโจว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)