ภาพของกองไฟ ไก่ย่าง ไหสุราและคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง
หนิงซือเหยียนได้ไปยังทะเลสาบสือหลี่อีกคราเมื่อยามพลบค่ำ เขาได้ขโมยไก่แก่จากบ้านหานลู่มาอีกหนึ่งตัว แต่ในครานี้โชคมิดีนัก เขาถูกหานลู่จับได้ นางถือมีดทำครัววิ่งไล่เขาอยู่ถึง 3 ลี้
ดังนั้นกว่าจะได้กินไก่ตัวนี้มิง่ายดายเอาเสียเลย
บัดนี้ไก่ได้ย่างเสร็จแล้ว หนังกรอบเนื้อไก่ข้างในนุ่มเป็นอย่างมาก ถึงเวลาฉลองแล้ว !
เขานำไก่ที่ย่างเสร็จแล้วใส่ลงไปในชามใหญ่ ชักกระบี่นั้นออกมาแล้วเช็ดเข้ากับเสื้ออยู่สองสามที หลังจากนั้นหั่นมันเป็นชิ้น ๆ จิ้มลงในน้ำจิ้มที่เตรียมเอาไว้ แล้วโยนใส่ปากเคี้ยว อ่า ! รสชาตินี้ช่างดียิ่ง !
ในขณะที่เขากำลังเอร็ดอร่อยกับไก่ย่างตัวนี้อยู่ ก็ได้ปรากฏใครบางคนกำลังเดินเข้ามา
ให้ตายสิ !
หนิงซือเหยียนอารมณ์เสียอย่างแท้จริง
“เวลากินข้าว มิว่างส่งจดหมาย นำทางหรือสอบถามใด ๆ ”
ผู้ที่ยืนอยู่นั้นเป็นชายรูปร่างกำยำ บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นจากกระบี่ที่เกือบจะฟันโดนตาซ้าย
เขาสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้ที่หลังแล้วมองดูหนิงซือเหยียน จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “หากข้าต้องการชีวิตเจ้า พอจะมีเวลาหรือไม่ ? ”
“รอให้ข้ากินไก่ตัวนี้ให้เสร็จก่อน”
“ข้าเองก็ต้องรีบฆ่าเจ้าแล้วกลับไปดื่มสุราเช่นกัน”
หนิงซือเหยียนขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามออกไป “เจ้าคือใครกัน ? ”
“คลั่งดาบ ฉือมู่ ! ”
หนิงซือเหยียนเงยหน้าขึ้นมองดูฉือมู่ จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ “เจ้ามาคนเดียวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หาใช่ไม่ มากัน 13 คน หากข้าฆ่าเจ้าเสร็จเรียบร้อยก็จะสามารถกลับไปดื่มสุราได้”
“อีก 12 คนเล่า ? ”
“มิรู้”
หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
หลังจากได้รับข้อมูลจากคนที่หนานกงอี้หยู่ส่งมาแล้ว หนิงซือเหยียนก็พาฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินไปยังจายซิงถาย
จายซิงถายอันกว้างใหญ่นั้นใจกลางมิกลวง แต่มันมีพื้นที่ลับซ่อนอยู่
ในวันบวงสรวงสู่สวรรค์ สถานที่นี้จะถูกใช้สำหรับนักบวชเพื่อทำนาย ด้านในกว้างใหญ่ยิ่ง แต่ทางเข้าจะต้องเปิดกลไกตามรูปแบบที่วางเอาไว้
จายซิงถายนี้มิได้ถูกเปิดกลไกสำหรับบวงสรวงมานับร้อยปีแล้ว นับจากสถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นคฤหาสน์ของราชวงศ์ก็มิมีผู้ใดเข้ามาอีก ดังนั้นผู้ที่รู้จักกลไกนี้จึงมีมิมาก แต่ในฐานะเจ้าของสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหนิงซือเหยียนย่อมรู้อย่างถ่องแท้
บัดนี้ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวินและบ่าวรับใช้ของพวกนางได้หลบอยู่ด้านล่างของจายซิงถาย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับจะออกไปจากที่ตรงนี้ !
“พวกเจ้าวางใจได้ ข้ามิตายอย่างแน่นอน แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็ยังมิอาจฆ่าข้าได้ ยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีก ? อีกอย่าง…ข้าอยากจะเห็นนักว่าผู้ใดกันที่ต้องการชีวิตของข้า ! ”
หนิงซือเหยียนรู้สึกว่านี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับสามเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับหนึ่ง หากมีขั้นปรมาจารย์ปรากฏขึ้น หนิงซือเหยียนก็คงมิแปลกใจ
เขาต้องการทำสิ่งใด ?
เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทิ้งสาวงามทั้งสองที่ยังมิได้แม้แต่เข้าห้องหอไว้ที่นี่ เขาตายด้านกับชีวิตทางโลกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? มิหวังสิ่งใดแล้วหรือ ?
แต่เขาก็มิได้เข้าไปห้ามปรามฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด เนื่องจากว่าแต่ละคนล้วนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจและความคิดเป็นของตนเอง
เพียงแต่เขามองไปยังกล่องสีดำที่ฟู่เสี่ยวกวนสะพายไว้แล้วคิดไปว่า เจ้าสิ่งนี้เดิมทีซูเจวี๋ยเป็นผู้สะพาย เขาคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธของซูเจวี๋ย คาดมิถึงว่าซูเจวี๋ยและศิษย์จากสำนักเต๋าจะเดินทางไปฆ่าเป่ยหวังฉวน แต่กลับนำสิ่งนี้ทิ้งเอาไว้ให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนเขายืนนิ่งอยู่ที่นั่นทำไมกัน ?
พวกเขาเหล่านั้นคือผู้มีฝีมือทั้งสิบสองคนเชียว !
อีกประเดี๋ยวค่อยเข้าไปดูก็แล้วกัน จะได้เก็บศพเขามาด้วย ข้าเห็นแก่กวีที่เขาประพันธ์ขึ้นมาหรอก ข้าจะอนุญาตให้ฝังเขาไว้บนเขาแห่งจายซิงถายนี้ก็แล้วกัน ที่นั่นบรรยากาศมิเลวเลยทีเดียว สามารถมองเห็นเมฆหมอกได้อีกด้วย !
……
……
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในลานกว้าง เขาจุดตะเกียงใบหนึ่ง จ้องมองไปยังชายชราที่ท่าทางครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างมิกะพริบตา
“เจ้าว่า…เจ้าคือโหยวเป่ยโต้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)