ม้าสีแดงตัวหนึ่งตะบึงเข้ามาในเขตวังหลวงอย่างบ้าคลั่ง
อู๋หลิงเอ๋อร์ตบม้าให้ปรี่ไปทางห้องทรงพระอักษรของวังหลวงโดยเร็ว
ในขณะนั้นจักรพรรดิเหวินกำลังอยู่ในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงและกำลังถกปัญหาการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิอยู่กับสองอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้เห็นม้าตัวนั้นพุ่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงอย่างมิคาดฝัน
คนทั้งสามที่อยู่ในห้องนั้นตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ในชั่วพริบตานั้นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงก็ได้ชักกระบี่ออกมา ในทันทีที่แทงกระบี่ออกไป กลับต้องชักกลับมาโดยทันที
อู๋หลิงเอ๋อร์พลิกพระวรกายลงจากม้า มิได้น้อมคำนับให้แต่อย่างใด แต่กลับมองไปที่จักรพรรดิเหวินด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ที่วัดหานหลิงมีการเปลี่ยนแปลง ! ”
จักรพรรดิเหวินตกตะลึงยิ่ง หลังจากที่อู๋หลิงเอ๋อร์ได้กล่าวแผนการของเกาเสี่ยนออกมาให้เขาได้ฟัง เขาจึงสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด สตรีผู้นั้น ช่างร้ายกาจยิ่งนัก !
แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?
เขาเงียบเพื่อครุ่นคิดไปสามอึดใจ และประกาศราชโองการว่า “ให้หนานกงจิ่งเหยียนและองครักษ์ชุดแดง 3,000 นายควบม้าไปยังวัดหานหลิงโดยเร็วที่สุด ให้ศาลต้าหลี่ทำการสอบสวนเซียวเฉียงในทันที…สามารถใช้โทษลงทัณฑ์ได้ ! ”
ขันทีผู้แถลงราชโองการขององค์จักรพรรดิรีบวิ่งออกไปในทันที ห้องทรงพระอักษรของวังหลวงก็ได้เงียบงันลงไปในทันพลัน
“แต่ทว่า ต่อให้องครักษ์ชุดแดงเร่งรีบไป ก็คาดว่าจะมิทันกาล” จัวอี้สิงกล่าวขึ้นมาว่า เขาเองก็คาดมิถึงว่าจักรพรรดินีเซียวจะยังมีแผนร้ายที่บ้าคลั่งเยี่ยงนั้นอยู่ !
ทันใดนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ก็หันไปมองหนานกงอี้หยู่ “นกเหยี่ยวตัวนั้นของท่าน สามารถส่งจดหมายได้หรือไม่ ? ”
สองมือของหนานกงอี้หยู่แบออก “ไห่ตงชิงสามารถส่งจดหมายได้ แต่มันมิรู้จักคนที่อยู่ที่นั่นเลยสักคนเดียว”
อู๋หลิงเอ๋อร์นึกไปถึงบนกวนหยุนถายในวันนั้น ไห่ตงชิงเกาะอยู่บนไหล่ของซูซู… “ซูซู…ใช่ ! ซูซูต้องอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ ! ”
หนานกงอี้หยู่ผงะ เขารีบเดินออกไปจากสำนักหนังสือวังหลวงทันที แล้วหยิบนกหวีดออกมาเป่า ไห่ตงชิงก็ได้บินลงมา และเกาะลงที่ไหล่ของเขา
เขาตรงไปยังโต๊ะมังกร หยิบพู่กันและหมึกขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษในตอนที่กำลังมัดกับขาของไห่ตงชิง จักรพรรดิเหวินกลับกล่าวว่า “ประเดี๋ยวก่อน ! ”
เขาเดินไปทางโต๊ะมังกร เขียนอักษรลงบนกระดาษแผ่นนั้น ทันทีที่หนานกงอี้หยู่ได้เห็น ก็ตกตะลึงยิ่งนัก เขามิได้กล่าวอันใด และได้นำกระดาษแผ่นนั้นมัดไว้กับขาของไห่ตงชิง
เขาลูบขนของไห่ตงชิง และกล่าวด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก “จงไปหาเด็กสาวนามซูซู นางอยู่ด้านหลังเขาของวัดหานหลิง”
ไห่ตงชิงได้ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น มันกระพือปีกและบินจากไป
“สำเร็จแล้ว ! ”
จักรพรรดิเหวินจึงวางใจลงมาได้ครึ่งหนึ่ง หากไห่ตงชิงสามารถส่งจดหมายไปให้ถึงได้จริง ๆ… ด้านหลังของเรือนหยุนชิง ได้มีทหารองครักษ์ชุดแดงจำนวน 1,000 นายคอยคุ้มกันอยู่
พวกเขามิได้รักษาความปลอดภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวน แต่ขณะนี้ไทเฮาองค์ปัจจุบันกำลังประทับอยู่ ณ ที่นั่นต่างหาก
…..
…..
“เรือนหยุนชิงใหญ่โตเป็นอย่างมาก นอกจากด้านหลังเรือนแล้ว พวกท่านจะไปที่ใดก็ได้ จงจำไว้…มิว่าผู้ใดก็มิสามารถไปที่ด้านหลังเรือนได้” หวินกุยกำชับกับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง และยังเอ่ยอีกว่า “บัดนี้ก็ใกล้จะถึงยามอู่แล้ว บ่าวได้สั่งให้โรงครัวเตรียมมื้อกลางวันแล้ว คาดว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้ว คุณชายและคุณหนูทุกท่าน ก่อนอื่นตามข้าไปรู้จักกับห้องหับเสียก่อน ด้านในสามารถอาบน้ำและพักผ่อนได้”
ภายใต้การนำของหวินกุย ก็ได้จัดการห้องพักให้เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทุกคนจึงเดินไปที่ลานเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน…อาหารมื้อนี้เลิศรสยิ่ง คาดมิถึงว่าจะเต็มไปด้วยรสชาติของเจียงหนานแห่งราชวงศ์หยู แต่สำหรับศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนแล้ว กลับไร้หนทางที่จะเติมเต็มท้องของเขาได้ ดังนั้นสายตาของเขาที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนจึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้แจ้งกับหวินกุยหนึ่งประโยคว่า มื้ออาหารต่อไปต้องจัดเตรียมให้มากขึ้นอีกหนึ่งเท่า
หวินกุยอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นางย่อมมิได้ไถ่ถามว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจอย่างมากอยู่ภายในใจก็เท่านั้น
และในเวลานั้นเอง ไห่ตงชิงก็ได้บินมาถึงลานแห่งนี้ มันบินวนอยู่บนท้องฟ้าสองรอบ แล้วจึงร่อนลงมาเกาะบนไหล่ของซูซู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)