ตอนที่ 371 ขอคาราวะองค์ชายใหญ่
รัชสมัยเซวียนลี่ ยี่สิบสามค่ำเดือนสาม ยามอู่ คณะของฟู่เสี่ยวกวนมิได้รอจนกระทั่งงานชุมนุมวรรณกรรมแล้วเสร็จ พวกเขาได้กลับไปยังคฤหาสน์จิ้งหูที่เมืองกวนหยุนทันที
การกลับไปก่อนเวลาสิ้นสุดการแข่งขันนั้นย่อมนำไปสู่การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานาของเหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมงาน
เหล่าบัณฑิตมากมายเอ่ยถึงเขาด้วยถ้อยคำเสีย ๆ หาย ๆ มีเพียงแค่ฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่จ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนภายใต้ความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน
และคุณหนูถังซานก็ได้จ้องมองแผ่นหลังนั้นอยู่เช่นกัน
……
หนิงซือเหยียนนอนแผ่อย่างเงียบ ๆ ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น
ใบหน้าของเขานั้นมีหมวกฟางคุมเอาไว้เพื่อป้องกันแสงแดดแยงตา ส่วนกระบี่ประจำตัวของเขานั้นปักอยู่ข้างกาย สาดแสงประกายมองดูแล้วน่าเกรงขามยิ่ง
และบัดนี้ฝั่งตรงกันข้ามของเขานั้นมีชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ ซึ่งเขาก็คือหนิงฝาเทียนผู้เป็นบิดาของเขานั่นเอง !
หนิงซือเหยียนมิได้นำหมวกที่ปกปิดใบหน้าของตนออก “เจ้าไปเยือนภูเขาลั่วเหมยที่ชางฮ่าย แต่กลับมิได้ท้าประลองกับโหยวเป่ยโต้วเลยสักครา”
“ข้าไปเยือนภูเขาลั่วเหมยครานี้มิได้มีจุดประสงศ์เพื่อท้าประลองกับโหยวเป่ยโต้ว แต่เพื่อไปส่งราชโองการลับให้กับฝ่าบาท”
“ด้วยเหตุนี้โหยวเป่ยโต้วจึงมาที่นี่ ส่วนเจ้าไปที่ฐานทัพขององครักษ์หลวง แล้วนำตัวเซียวจ้านผู้บังคับบัญชาออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นี่เป็นหมากเดินเกมของฝ่าบาท ข้ามีหนี้ติดค้างต่อองค์ฝ่าบาท เลยจำต้องใช้หนี้คืนพระองค์โดยสะสางเรื่องพวกนี้ให้แล้วเสร็จ”
หนิงฝาเทียนหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงได้เอ่ยต่อ “เจ้าเป็นองค์รักษ์คอยดูแลเขาย่อมมิเสียหาย เขาเป็นโอรสในฝ่าบาท ต่อไปก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ได้ยินมาว่าเขาได้ประพันธ์กวีให้กับภาพวาดของแม่เจ้า ข้าขอเชยชมได้หรือไม่ ? ”
หนิงซือเหยียนลุกขึ้นมายืนในทันที แล้วหมวกที่ปิดปังใบหน้าของเขานั้นก็ได้ร่วงลงสู่พื้น เขาหันไปมองผู้ที่เป็นพ่อ “จริง ๆ แล้วท่านมิคู่ควรกับภาพวาดและบทกวีเหล่านี้หรอก แต่ข้าก็อยากให้ท่านได้เชยชม ถือว่าเป็นการสนองความปรารถนาของท่าน”
เขาขึ้นไปบนอาคารเล็ก ๆ เพื่อนำภาพวาดนั้นให้ฝาเทียนหนิงได้เชยชม
เมื่อหนิงฝาเทียนมองภาพนั้น คิ้วของเขาก็ได้ขมวดเป็นปม จากนั้นสายตาก็ค่อย ๆ เหม่อลอย เขาจ้องมองภาพนั้นอยู่เนิ่นนาน แล้วถึงส่งภาพวาดนั้นกลับคืนไปให้ผู้เป็นลูก
“บทกวีนี้ข้าได้จารึกไว้ในใจแล้ว เจ้าจงเก็บรักษาภาพวาดนี้ไว้ให้ดี ข้าต้องไปแล้ว ข้ามีธุระที่ต้องสะสางให้กับองค์ไทเฮา”
หนิงซือเหยียนคิดไปคิดมา แต่ก็มิได้เอ่ยถามว่าไปสะสางธุระอันใดให้กับไทเฮากัน จากนั้นจึงได้เอ่ยกับผู้เป็นพ่อว่า “ข้ามิชอบหลานสาวของจัวอี้สิง ท่านจงไปถอนหมั้นเสียเถิด ! ”
หนิงฝาเทียนนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จากนั้นก็ได้เอ่ยสั้น ๆ เพียงสองคำ “มิได้ ! ”
เขาปลีกตัวเดินออกมาและมิได้เข้าไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ สถานที่ซึ่งเป็นเรือนรักของเขากับภรรยาที่จากไป ราวกับว่าเขาต้องการให้สถานที่แห่งนี้เลือนหายไปในความทรงจำ
หนิงซือเหยียนหรี่ตามองไปยังแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งเดินจากไป ทันใดนั้นกระบี่ที่ปักอยู่ข้างกายก็ได้ส่งเสียงก้องกังวาน ด้ามกระบี่ได้ขยับสั่นไหว
“มิได้ก็คือมิได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ” เขาหัวเราะเย้ยหยัน แล้วจึงนำภาพวาดนี้กลับเข้าไปเก็บในตัวอาคาร จากนั้นจึงกลับมาหยิบหมวกฟางที่วางอยู่บนพื้น แล้วนอนอาบแดดต่อไป ในใจนั้นนึกถึงแม่นางหานลู่ซึ่งอยู่ที่ชายฝั่งทะเลสาบสิบลี้
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้กลับมาถึงคฤหาสน์จิ้งหูก็ได้เห็นหนิงซือเหยียนนอนแผ่อยู่ตรงใจกลางของทางแยกพอดี
หนิงซือเหยียนเอาหมวกที่ปิดบังใบหน้าของตนออก แล้วเปลี่ยนอิริยาบถของตนเป็นท่านั่ง เขาจ้องไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิยอมลดละสายตา
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกประหลาดใจ เขาจึงได้เอ่ยถาม “อะไรกัน ? ข้าจากไปเพียงแค่สามวันก็จำข้ามิได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแค่อยากจะมองหน้าท่านดี ๆ สักครา ท่านคล้ายคลึงกับฝ่าบาทมากยิ่งนัก เจ็ดในสิบ อย่างน้อยก็คล้ายคลึงถึงเจ็ดในสิบส่วน ! ”
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยอารามตกใจ
“อ่า…ท่านคงยังมิทราบสินะ ก็เมื่อวานฝ่าบาททรงประกาศต่อหน้าขุนนางแล้วว่าท่านคือโอรสของพระองค์กับสวี่หยุนชิง ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)