นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 444

สรุปบท ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 ): นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอน ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 ) จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 ) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 )

งานประชุมใหญ่ราชวงศ์ในครานี้สิ้นสุดลงในช่วงสาย

และการประชุมใหญ่ราชวงศ์เช้านี้ได้อธิบายเรื่องสำคัญอยู่หลายประการ

ฮ่องเต้มิได้ทำตัวแปลกแยกเนื่องจากตัวตนที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน แต่ฮ่องเต้กลับให้ความสำคัญกับเขา มอบหมายหน้าที่ที่สำคัญกว่าเดิมให้กับเขา !

หากเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนมิออกไปจากราชวงศ์หยู เขาย่อมมีอนาคตที่ยาวไกลเป็นแน่

แต่หากเขาออกจากราชวงศ์หยู เขาก็เป็นถึงจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋

ดังนั้นมิว่าจะเลือกเยี่ยงไร ล้วนเป็นผลดีต่อฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่ขุนนางทุกคนต่างก็คิดเหมือนกัน

นโยบายการลดภาษีและการยกเว้นภาษีเพื่อส่งเสริมการค้าได้ดำเนินขึ้นแล้ว ซึ่งนี่หมายความว่ากลุ่มคนหัวโบราณที่นำโดยฉินฮุ่ยจือได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ จะต้องใช้โอกาสนี้ให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการทางการค้า

ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมที่ซีซานนั้นได้ขยายมายังผิงหลิงชวีอี้ทั้งสองเขตแล้ว เจ้าหมอนี่ได้วิ่งไปดักหน้าเอาไว้อีกแล้ว ตนจะต้องรีบตามขึ้นไป

เนื่องจากราชวงศ์หยูที่กว้างใหญ่นี้มีเพียง 6 เขตเท่านั้นที่ใช้เป็นเขตการทดลอง เมื่อข่าวนี้เเพร่ออกไปทั่วหล้า ในวันนั้นพ่อค้าทุกคนต่างก็กระตือรือร้นกันเป็นอย่างมาก หากว่าช้าไป เกรงว่าแม้แต่น้ำแกงก็จะมิได้ซด

ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดคงจะเป็นหลี่ฉาย

บัดนี้เขาอายุได้สี่สิบกว่าปีแล้ว เขาทำงานอยู่ในกรมคลังมา 20 ปีแล้ว จึงได้เลื่อนขั้นเป็นชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลัง

หากจะกล่าวถึงแก่นแท้แล้ว เขานั้นเป็นพ่อค้า บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลธนาคารเป่าหลงที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หยู พี่ชายจัดการร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง น้องชายคนที่สามเป็นผู้ดูแลกิจการหยกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งหอยู่ติ่ง น้องชายคนที่สี่เป็นหลงจู๊ของหอหุยชุน

สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั้น หลี่ฉายรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะเดินทางมาที่เมืองหลวงคราแรก เนื่องจากอุทกภัยในครานั้น ฝ่าบาทจึงได้ประทานตำแหน่งเหวินซ่านกวนให้แก่เขา แต่กลับให้เขาไปทำงานที่กรมคลัง

จากมุมมองของหลี่ฉายแล้วนั้น การที่ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้เนื่องจากกำลังส่งสัญญาณบางอย่างว่า ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต

และตนก็มิได้มองผิดไป บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้มีอำนาจมากมาย มิมีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้ !

อยู่ ๆ เขาก็ต้องการเข้าพบท่านพ่อ…คาดว่าน่าจะมีนโยบายใหม่ ๆ มาอีกเป็นแน่ คาดว่าเขาอยากจะสอบถามท่านพ่อถึงเรื่องการจัดการและการเงิน

เรื่องนี้จะต้องทำให้ดี ดังนั้นเขาจึงได้รีบกลับไปยังจวนเมื่อเลิกการประชุมใหญ่ราชวงศ์

ส่วนฟู่เสี่ยวกวน หลังจากจบการประชุมใหญ่ราชวงศ์แล้ว ก็ได้ถูกฝ่าบาททรงเรียกตัวเอาไว้ จากนั้นก็ได้ติดตามฝ่าบาทไปยังห้องทรงพระอักษร และยังมีผู้ที่ติดตามไปด้วยอีก 2 คนคือเยี่ยนเป่ยซีและต่งคังผิง

ชายชราทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นพ่อตา อีกคนหนึ่งเป็นพ่อของพ่อตา…ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง ในใจของเขากระสับกระส่ายขึ้นมาทันพลัน หรือจะเป็นเพราะว่างานแต่งงานจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายจนเกินไปกัน ?

แต่สุดท้ายเขาก็คิดมากไปเอง ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้นั่งลงหน้าโต๊ะมังกรแล้วมองมายังฟู่เสี่ยวกวน แล้วตรัสว่า “ข้าและท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเห็นว่า ในปีหน้าหลังจากปีใหม่ จะเพิ่มจุดทดลองเป็น 20 จุด แต่ท่านเสนาบดีต่งมองว่ายังมิเหมาะสม หลังจากที่ได้ครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน ข้าจึงอยากจะถามเจ้าว่ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ? ”

อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดขึ้นมาหลายอย่าง อย่าว่าแต่ภาษีเลย หากพ่อค้าในเจียงหนานใช้วิธีนี้หลบหนีภาษี จะทำให้ราชวงศ์สูญเสียมากมายมหาศาลชนิดที่มิอาจรับมือได้ หากว่าทั้งแคว้นทำเยี่ยงนี้…ปีหน้าจะยังมีภาษีให้เก็บอยู่อีกหรือ ? ”

ฮ่องเต้มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ทั้งสองสบตากันแล้วก็ได้เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเรื่องนี้ยังมีสิ่งที่ต้องไตร่ตรองอยู่อีกมากมาย

“นี่เป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อไปว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกหลายด้าน เช่น โครงสร้างการลงทุนของแต่ละที่เหมาะสมหรือไม่ ? ”

“นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่าย ๆ ข้านั้นได้ทำการก่อสร้างที่เขตผิงหลิงมากมายหลายที่ ต้องการใช้แรงงานถึง 4,000 คน บัดนี้ในเขตผิงหลิงมีผู้ใช้แรงงานกว่าแปดหมื่นคน แต่พวกเรามิอาจให้พวกเขาทั้งแปดหมื่นคนนี้เข้าไปทำงานได้ทั้งหมด เนื่องจากยังจำเป็นต้องปลูกข้าว”

“เช่นนั้นเป็นการดีที่ข้าได้คัดเลือกเกษตรกรมา 40,000 คน เหลืออีก 40,000 คนให้พวกเขาทำการเพาะปลูกกำลังดี หากว่ามีพ่อค้าเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งก่อสร้างสถานที่มากมาย จะเป็นการใช้แรงงานคนจำนวนมากจนเกินไป …นี่อาจจะเกิดภาวะรกร้างของผืนนาได้ เนื่องจากทุกคนล้วนอยากไปทำงานหาเงิน แล้วยังจะมีผู้ใดสนใจการเพาะปลูกอยู่อีกเล่า ? ”

“แน่นอนว่าหลังจากที่ทุกพื้นที่ถูกเปิดใช้หมดแล้ว อาจจะใช้เวลาเพียง 3 ปีหรือ 5 ปี แต่พวกเราจะพบว่าเกษตรน้อยจะลดลงเรื่อย ๆ นาน ๆ เข้าเกษตรกรในหลาย ๆ พื้นที่ก็จะน้อยลงจนหมดสิ้นไป หรือหากนานกว่านั้น เกษตรกรอาจจะหายไปเลยก็ได้”

“บรรดาเกษตรกรที่ไปยังพื้นที่ก่อสร้างนั้น จะลุ่มหลงในเงินทอง ชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่า…หากวันหนึ่งการค้ามิเป็นดังใจหวัง พวกเขาอยากจะกลับไปยังชนบทแล้วจะพบว่ามิมีบ้านเกิดดังเดิมให้พวกเขาได้กลับไปอีกแล้ว”

“หากมองออกไปให้ไกลสักหน่อย ต่อให้การค้ารุ่งเรือง อีกทั้งบุตรหลานของพวกเขาได้เดินตามรอยเท้าของพวกเขา แต่คนงานในเขตของพวกเขาเต็มแล้ว พวกเขาจะเดินทางไปยังเขตข้าง ๆ และเดินทางจากบ้านเกิดไปหลายปี ราคาอาหารและสิ่งของจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่พวกเขามิอาจกลับไปยังชนบทได้อีก เนื่องจากพวกเขามิมีแม้แต่ทักษะพื้นฐานในการทำนา พวกเขาเคยชินกับการหาเงินทางลัด มิมีผู้ใดยินยอมที่จะกลับไปยังผืนปฐพีที่ยากจนนั้นเป็นแน่”

“ท้ายที่สุดนั่นคือการลงทุนอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ แล้วจะนำไปสู่ความคล้ายคลึงกันของผลิตภัณฑ์ หากข้าและท่านทอผ้าและทำเสื้อผ้าเหมือนกัน…แล้วเสื้อผ้ามากมายในตลาดจะไปขายให้ผู้ใดกันเล่า ? ”

“ดังนั้น สิ่งที่ราชวังต้องทำในตอนนี้มิใช่การเพิ่มจุดทดลอง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดทางการค้าทั้งหมด สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการวางแผนและควบคุมไว้ล่วงหน้า ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)