ตอนที่ 445 นโยบาย ( 2 )
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาอย่างฉะฉาน จนทำให้ผู้ฟังทั้งสามถึงกับตกตะลึงเสียจนตาค้าง
แท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเพียงข้อเสียที่เข้าใจได้ง่ายเพียงเท่านั้น เขามิได้กล่าวถึงข้อเสียที่ร้ายแรงยิ่งกว่าหรือที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น กล่าวไปพวกเขาก็มิเข้าใจอยู่ดี อย่างเช่นอาจจะทำให้เศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤต อย่างเช่น การเสื่อมมูลค่าของเงิน ภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืดและอื่น ๆ
เขาสามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ การริเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายของแคว้นนี้ แน่นอนว่าจะต้องเกิดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานในจำนวนมาก เขาหวังว่าการเคลื่อนย้ายในครานี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดี การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของเขตเล็ก ๆ ขึ้นมาได้… ชาวบ้านมิจำเป็นต้องอพยพ และชาวบ้านสามารถสร้างร้านค้าเพื่อหาเงินในเขตนั้น ๆ ได้ อีกทั้งยังไม่ทำให้พืชผลทางการเกษตรภายในบ้านสูญหายไปอีกด้วย
เขตชนบทเริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่เศรษฐกิจกลับมิพัฒนาเลย เขตชนบทในบัดนี้เริ่มเหมือนเมืองใหญ่ ๆ มากขึ้นไปทุกที ความเป็นชนบทเริ่มจะถดถอยลงไปมากแล้ว
ทุนแสวงกำไร หากมิมีการควบคุม ผลลัพธ์ในตอนท้ายก็ยากที่จะจินตนาการถึงได้
ฮ่องเต้ อัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และเสนาบดีต่งเองก็ยากที่จะจินตนาการถึงได้
ฮ่องเต้เดินเข้ามา นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะน้ำชา และกล่าวกับขันทีเจี่ยที่ก้มหน้าอยู่ตรงมุมห้องว่า “ไปนำชาชั้นดีของข้ามาสักหนึ่งกล่อง…”
ขันทีเจี่ยโค้งคำนับแล้วเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามอีกว่า “ตามคำกล่าวของเจ้า การผลักดันการค้านี้มิได้มีความเสี่ยงมากใช่หรือไม่ ? ”
“กระหม่อมคิดว่าทุกเรื่องย่อมมีข้อดีและข้อเสีย ต้องกำหนดกฎการค้าไว้ให้ดี หากสามารถเพิ่มแนวทางการแข่งขันทางการค้าได้ และหากเพิ่มความสามารถของเครื่องจักรที่สร้างผลิตภัณฑ์ได้มากพอ พ่อค้าสามารถทำเงินได้ ชาวบ้านก็จะสามารถได้รับเงินจากการใช้แรงงาน ประเทศก็จะได้รับภาษีเพิ่มขึ้นจากการผลิตและการหมุนเวียนของผลิตภัณฑ์
สิ่งเหล่านี้จัดอยู่ในด้านดี แต่ในด้านที่แย่ก็คือความโหดร้ายที่มีอยู่ในการแข่งขันทางการค้า ในขั้นตอนของการแข่งขัน ย่อมมีพ่อค้าที่ล้มเหลวและล้มละลาย ย่อมมีอุตสาหกรรมล้าหลังที่ถูกกำจัดออกไปโดยอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า
นี่คือในแง่มุมของตลาดภายในแคว้น แต่กระหม่อมคิดว่า แสงสว่างของพวกเราควรจะไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเราลองมองออกไปยังตลาดทั่วหล้า… ฝ่าบาท ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ท่านพ่อตาต่ง พวกท่านลองใคร่ครวญดูเถิด
หากมีวันหนึ่ง ที่พวกเราสามารถนำสินค้าภายในแคว้นของพวกเราไปยังตลาดทั่วหล้าได้ พวกเราจะทำกำไรหรืออยู่รอดในการแข่งขันกับแคว้นอื่น ๆ ได้เยี่ยงไร
นี่คือสภาพแวดล้อมการตลาดที่เลวร้าย ซึ่งผลิตภัณฑ์ของราชวงศ์หยูจะเป็นต้องมีส่วนที่ล้ำหน้า ในด้านทางวิธีการต้องมีข้อได้เปรียบอย่างสูงสุด นั่นจึงจะเป็นสนามรบอย่างแท้จริง มิมีดาบหรือกระบี่ แต่จะมีเงาของดาบและกระบี่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง และจะตายทันทีในยามที่ละความใส่ใจ
แต่นั่นกลับเป็นเวทีสู่ความรุ่งเรือง หากพวกเราสามารถคว้าชัยชนะได้ และสามารถทำเงินก้อนโตในแคว้นอื่น ๆ ได้ ก็จะสามารถชี้ขาดราคาของผลิตภัณฑ์ได้ แม้กระทั่ง…ด้วยวิธีการทางการตลาด พวกเราก็จะสามารถควบคุมแคว้นอื่นได้…”
ทั้งสามคนต่างก็จ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนเสียจนตาค้าง ในยามที่ขันทีเจี่ยก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก็ทันได้เห็นเข้ากับฉากนี้อย่างพอดิบพอดี เขาเองก็ตกตะลึงเสียจนแทบอ้าปากค้าง
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ จะทำอันใดให้ผู้อื่นตกตะลึงอีกกัน ?
ในยามที่ขันทีเจี่ยส่งกล่องชาไปให้ฮ่องเต้ คาดมิถึงว่าเขาจะมิรับ ราวกับมิได้ตระหนักว่ายามนี้ขันทีเจี่ยได้มายืนอยู่ข้างกายของเขาแล้ว
ตอนนี้ในหัวของเขากำลังนึกถึงฉากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ ใต้หล้านี้เป็นเวที ราชวงศ์หยูยืนอยู่บนเวทีนั้น สุดท้ายแล้วจะเป็นเยี่ยงไรกัน ?
จะถูกผลิตภัณฑ์ของแคว้นอื่นสังหารเสียจนสะบักสะบอมหรือไม่ ? หรือจะสามารถพิชิตและยึดครองเวทีนั้นได้กัน ?
แต่การค้าระหว่างแคว้นยังมิถูกเปิดอย่างเสรี ย่อมมิได้เผชิญกับผลิตภัณฑ์ของทุกแคว้นโดยตรง แต่ผลิตภัณฑ์จากแคว้นอื่นที่ถูกลักลอบนำเข้ามากลับเริ่มส่งผลกระทบกับชีวิตของผู้คนจำนวนมิน้อยแล้ว
อย่างเช่นเครื่องหยกของแคว้นฝาน เครื่องไม้ของแคว้นอี๋ เครื่องโลหะของแคว้นอู๋ แน่นอนว่าในปัจจุบันผ้าไหมของแคว้นหยูก็เป็นที่กล่าวขานในตลาดของแคว้นเหล่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)