นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 569

สรุปบท ตอนที่ 569 เพลงฉู่สี่ทิศ: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

อ่านสรุป ตอนที่ 569 เพลงฉู่สี่ทิศ จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 569 เพลงฉู่สี่ทิศ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 569 เพลงฉู่สี่ทิศ

ฝนในฤดูใบไม้ผลิหากได้ตกลงมาก็จะตกไปตลอดทั้งวัน

ทหารคุ้มกันบนหอคอยเมืองเจี้ยนเหมินได้คอยจดจ้องอยู่ตลอดเวลา มองค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองมาเป็นเวลา 1 วันเต็ม

นอกเมืองไร้การเคลื่อนไหวใด ในยามราตรีก็จะเห็นควันพวยพุ่งออกจากนอกเมืองอีกครา

พวกเขากำลังทำอันใดอยู่กัน ?

หรือต้องการให้พวกข้าง่วงจนตาย ?

เซวี๋ยติ้งชานเดินขึ้นมาบนหอคอยท่ามกลางการอารักขาของเหล่าองครักษ์ เขายืนนิ่ง จ้องมองค่ายทหารที่อยู่ห่างออกไป 10 ลี้อย่างเงียบงัน มองอยู่อย่างนั้นถึงครึ่งชั่วยาม

ในยามที่ไฟบนหอคอยสว่างขึ้น ในยามที่กลิ่นอาหารอันหอมหวนลอยมาจากค่ายทหารที่อยู่ตรงกันข้ามนั้น ก็ได้มีข้าศึกที่เหมือนกับคนโง่ควบอาชามายังหอคอยเมือง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เหล่าสหายในเมืองทั้งหลาย ข้าได้กินข้าวเย็นแล้ว ส่วนพวกเจ้าได้กินแล้วหรือยัง ? แม่ทัพใหญ่เฟ่ยของพวกเรากล่าวเอาไว้ว่า ขอเพียงพวกเจ้ายอมสวามิภักดิ์ และจับกุมตัวกบฏเซวี๋ย เขาจะลืมความผิดฐานก่อกบฏของพวกเจ้าทั้งหมด ! พวกเจ้าจงคิดให้ดี !

ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น อยู่ได้เพียงมิกี่ฤดูใบไม้ร่วง มิคุ้มอย่างยิ่งที่จะร่วมหัวขาดไปกับกบฏเซวี๋ย ! มันจะเป็นวันที่ดีขึ้นในอีกมิช้า พวกเจ้ามิคิดถึงเมียกับลูกที่บ้านเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเขายังรอให้พวกเจ้ากลับไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านอยู่นะ ! ”

“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ? มิได้ยินก็รอข้าจะกลับมาอีก ข้าต้องกลับไปกินอาหารร้อน ๆ ก่อน ประเดี๋ยวพวกเราค่อยเจอกัน ! ”

ทันทีที่เซวี๋ยติ้งชานได้ยิน เขาก็ดึงเท้าที่เพิ่งจะก้าวหันหลังกลับคืนมา เขาคิดจะสังหารคนผู้นั้น แต่ทว่ามันได้วิ่งกลับไปแล้วจริง ๆ

สายตาของเขาสาดมองไปที่ใบหน้าของทหารป้องกันเมืองเหล่านั้น รู้ได้ว่าพวกเขาโดนวางยาให้คิดทรยศ

มิเช่นนั้น เหตุใดต้องจดจ้องแผ่นหลังของศัตรูอย่างอาวรณ์ด้วยเล่า ?

ทหารเหล่านั้นยังลอบกระซิบที่ข้างหูกันอีกด้วย

คาดมิถึงว่ายังมีทหารอีกสองสามนายที่อยู่ห่างออกไปหัวเราะขึ้นมา !

เสียงหัวเราะนี้ดังอยู่ในหู ช่างมิระรื่นหูเท่าใดนัก ข้าถูกกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้ คาดมิถึงว่าพวกเจ้ายังจะหัวเราะกันได้ !

ย่อมมิมีเจตนาดี แต่ต้องระวังเอาไว้ ไปฟังเสียหน่อยว่าพวกเขาหัวเราะอันใดกัน ?

ดังนั้นเซวี๋ยติ้งชานจึงให้องครักษ์รั้งรออยู่ที่เดิม ส่วนตนได้บินไปถึงด้านหลังของทหารกลุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา

“เจ้ายังดี ลูกของข้าเพิ่งอายุ 2 ขวบ ถึงข้าตายก็มิเป็นไรหรอก แต่ภรรยาของข้าสวยถึงเพียงนั้น สายตาที่หัวหน้าหมู่บ้าน หวางหมาจึ มองภรรยาของข้ามิดียิ่ง หากรู้เร็วกว่านี้ ข้าคงตัดหัวหวางหมาจึไปแล้ว”

“ให้ตายเถอะ นอกจากจะกลายเป็นหนูเจาะกำแพงแล้ว จะบินก็บินมิได้ บุตรของเจ้าคงต้องเรียกหวางหมาจึนั่นว่าบิดาแล้ว พอเจ้าตายแล้วยังหวังว่าภรรยาจะครองตนเป็นม่ายเพื่อเจ้าไปตลอดชีวิตเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฮ่า ๆ ๆ… ! ”

“ไสหัวไป ฮึ ! …ตอนนี้ ข้าพบว่าการมีชีวิตอยู่ช่างดีเสียจริง”

“ดีกับผีน่ะสิ ล้วนเป็นโชคชะตาทั้งสิ้น ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกเราจะเดินถลำลึกมาถึงจุดนี้ได้ ? ”

“มิรู้เหมือนกันว่าท่านแม่ทัพใหญ่คิดอันใดอยู่…”

เซวี๋ยติ้งชานชักกระบี่ขึ้นมาทันใด แสงกระบี่สว่างวาบ ศีรษะของทหารผู้นั้นกลิ้งลงไปกับพื้น ทหารที่เหลือล้วนตื่นตระหนก ชักดาบออกมาอย่างคุ้นชิน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา บัดซบ ! มิรู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่มาถึงตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

“พวกเจ้า… คิดจะทรยศข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ไม่… มิใช่ ! พวกข้ามิเคยคิดเยี่ยงนั้นมาก่อน”

“มิเคยคิดเยี่ยงนั้นมาก่อน ? แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงนินทาข้าลับหลัง ? ”

เมื่อความขัดแย้งก่อตัวจนถึงจุดสูงสุด สุดท้ายก็จะระเบิดออกมา มิมีผู้ใดอยากตายด้วยดาบของแม่ทัพใหญ่ฝ่ายตนเป็นแน่ พวกเขาจะหักหลังเซวี๋ยติ้งชาน ภายในเมืองจะเกิดความโกลาหล…”

เฟ่ยอันชะงักไปชั่วครู่ “ฟู่เสี่ยวกวนใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของมนุษย์ กลยุทธ์นี้ถือว่ามาจากพู่กันของเทพเจ้าอย่างแท้จริง มิแปลกใจเลยที่เขากล้าให้เซวี๋ยติ้งชานยึดเมืองเจี้ยนเหมิน ในคราแรกข้ายังลังเลอยู่เนิ่นนาน แต่จากที่เห็นในวันนี้ เขาได้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านแม่ทัพอยากทดสอบดูหรือไม่ ? ” ซูม่อรู้สึกว่ากลยุทธ์นี้น่าทึ่งมากยิ่งนัก การร้องเพลงสามารถสังหารทหารฝ่ายตรงข้ามได้ถึง 150,000 นายเชียวหรือ ? เขามิค่อยเชื่อเท่าใด แต่ก็รู้สึกว่าลองดูก็มิได้เสียหายอันใด

“แม่ทัพซู นี่มิใช่การทดสอบ แต่นี่คือกลยุทธ์ ! พวกเรามารอดูกันว่าต้องร้องเพลงกี่วันถึงจะทำให้เจ้าลูกเต่าเซวี๋ยติ้งชานตกตายได้”

“นำคนมา… ! ”

“พวกเจ้าจงไปร้องเพลงฉู่ ที่ประตูเมืองทางเหนือ ร้องให้ดัง ๆ ร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า ร้องออกมาด้วยความรู้สึก เอาให้สวรรค์ต้องร่ำไห้ไปเลย ไป ! ”

ดังนั้น จึงเกิดฉากแปลกประหลาดขึ้นที่นอกเมืองเจี้ยนเหมิน

ผู้คนหลายหมื่นคนมารวมตัวกันที่ประตูทางเหนือของเมืองเจี้ยนเหมิน พวกเขาร้องเพลงเสียงดัง และเพลงที่ร้องก็คือบทเพลงฉู่ตี้

ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยและกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามของซูม่อยืนอยู่รอบกลุ่มคนพวกนั้น พวกเขามิได้ร้องเพลงแต่อย่างใด เพียงแค่คอยเฝ้าระวัง และคอยป้องกันลูกศรจากข้าศึก

เพลงนี้ลอยมาจากด้านนอกกำแพง ทหารคุ้มกันต่างก็รู้สึกประหลาดใจ… ศัตรูกำลังทำอันใดอยู่กัน ?

มารดามันเถอะ ! กินอิ่มแล้วยังดันทุรังมาทำตัววุ่นวาย !

มิอยากสนใจหรอก แต่กำลังเบื่อหน่าย พอฟังไปแล้ว เพลงนี้ก็มิเลวเสียทีเดียว

แม่ทัพใหญ่เซวี๋ยที่เพิ่งกลับมาจากหอคอยป้องกันเมืองก็ได้ยินเพลงนี้เช่นกัน คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันพลัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)