สำนักอัครมหาเสนาบดี
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้าสู่ธรณีประตูของสำนักอัครมหาเสนาบดี ห้องโถงขนาดใหญ่ก็ได้บังเกิดเสียงดังขึ้นมาทันที
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนยืนขึ้นแล้วทำความเคารพโดยนำมือทั้งสองข้างประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอก !
“คารวะติ้งอันป๋อ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น นำมือทั้งสองข้างประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอก “คารวะทุกท่าน ! ขอเอ่ยถามสักหน่อยขอรับ…ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนอยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนอยู่ที่เรือนซีขอรับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเคารพอีกคราก่อนจะเดินไปที่เรือนซี คนอื่น ๆ เห็นเงาของเขาจากไปแล้ว รอจนแน่ใจว่าเขาจากไปไกลแล้ว จากนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมา สายตาที่มองมีทั้งที่อาลัยอาวรณ์ มีทั้งสายตาอิจฉา บางทีพวกเขาก็รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นโชคชะตา
ในที่นี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสขั้นสี่ทั้งนั้น แต่มิมีผู้ใดคาดคิดเลยว่าฟู่เสี่ยวกวนจะได้ขึ้นมาเร็วถึงเพียงนี้
ถ้าคำนวณจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมาเมืองหลวงเป็นคราแรก เหมือนพึ่งจะผ่านไปเพียงแค่หนึ่งปีครึ่งเท่านั้นเองนี่
ในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งนั้น เขาได้เดินทางจากหลิงเจียงเข้ามาในเมืองหลวง ตัดสินใจเดินเข้ามาในท้องพระโรง จากคนที่มิมีชื่อเสียง แต่บัดนี้ได้กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็ต้องเอ่ยถึง
เขาเพิ่งอายุ 18 ปีเท่านั้น !
ทว่ามันมีผลต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์หยู และเป็นโชคชะตาของผู้คนในใต้หล้า !
นี่ยิ่งใหญ่เพียงใดกัน !
เป็นเยาวชนของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง !
ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงเรือนซี ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป แต่ก็ต้องตื่นตกใจเพราะมิเห็นผู้ใดอยู่เลย
เขาเคยมาที่นี่บ่อยครั้ง อีกทั้งรู้จักอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป็นอย่างดี จึงเดินไปที่โต๊ะน้ำชาและเหลือบมองไปยังกล่องหนังสือ
ในกล่องหนังสือมีกระดาษหนึ่งแผ่น มีตัวอักษรที่น้ำหมึกยังไม่แห้งและคำที่ยังเขียนไม่เสร็จอยู่
‘สีอ่อนเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง’
ฟู่เสี่ยวกวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันขึ้นมา เหตุใดถึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาได้กัน ?
หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นความคิดของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงมาเป็นเวลานาน ?
หรือเขากำลังจะเกษียณกัน ?
ท่านอัครมหาเสนาบดีจะเกษียณในเวลานี้มิได้ ข้าจะไปยังว่อเฟิงเต้า ท่านต้องอยู่ที่นี่เพื่อคอยช่วยเหลือข้าสิ
ฟู่เสี่ยวกวนรู้ดีว่าหากตนไปที่ว่อเฟิงเต้าเพื่อดำเนินการตามนโยบายใหม่ การสนับสนุนของส่วนกลางนั้นสำคัญเพียงใด ดังนั้นเขาจึงคิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ เขานั่งลงที่ข้างโต๊ะหนังสือ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วจุ่มหมึกพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เขียนเพิ่มอีกหนึ่งประโยค
‘เหมือนดั่งสายลมหยุดพัดอยู่ที่ฤดูใบไม้ผลิ ! ’
เขาหยิบกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาดูความถูกต้องอีกครา อืม… รูปแบบการเขียนที่แตกต่างกันสองแบบ
หนึ่งคือ ลอยล่องเหมือนดั่งหงส์ สองเหมือนหนอนฤดูใบไม้ผลิและงูในปลายฤดูใบไม้ร่วง… ช่างเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างแท้จริง
เขาวางกระดาษลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ค่อย ๆ นั่งลงที่โต๊ะน้ำชา แล้วชงชาหนึ่งกาโดยลำพัง
เมื่อควันเริ่มพวยพุ่งออกจากกาน้ำเหมือนน้ำกำลังเดือดและเริ่มมีกลิ่นชาออกมา ทันใดนั้นเยี่ยนเป่ยซีก็ได้เดินเข้ามา พอเห็นว่ามีคนอยู่จึงทำให้เขาตื่นตกใจเสียจนชะงักไปชั่วครู่ “เจ้ามิรู้จักคำว่าเกรงใจเลยเยี่ยงนั้นหรือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นจากการต้มน้ำชาแล้วหัวเราะร่า “อยู่ต่อหน้าท่าน มิจำเป็นต้องแสร้งเกรงใจอันใดหรอก เชิญนั่ง ดื่มชาเถอะ ! ”
เยี่ยนเป่ยซีนั่งลงตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน “วันนี้ สิ่งที่เจ้าได้สอนสั่งในสำนักศึกษาจี้เซี่ยส่งผลออกไปอย่างกว้างไกล และทางสำนักศึกษาได้เอาการบรรยายของเจ้าไปติดไว้ที่หอหลานถิงแล้ว ว่ากันว่าที่หอหลานถิงนั้นเต็มไปด้วยผู้คน แออัดจนเกิดการต่อสู้ขึ้นมาถึง 2 ครา…”
“ข้าอยากจะถามเจ้าว่า เจ้าคิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้เยี่ยงไร ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)