ตอนที่ 664 ต้มสุรา ( 1 )
“สมองของเจ้าช่าง…”
ขันทีเจี่ยส่ายศีรษะแล้วเอ่ยอย่างชัดเจนมิรีบร้อน
“ติ้งอันป๋อได้กล่าวว่าบนโลกใบนี้มีคนอยู่ 2 ประเภทที่สมควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ ประเภทแรกคือพวกที่ใช้สมองจัดการธุระต่าง ๆ คนประเภทนี้เจ้าแผนการ สามารถจัดการทุกอย่างตามเส้นทางที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดอ้อมไปไกลราวพันลี้ได้ สิ่งที่คนเหล่านี้วางแผนล้วนแต่เป็นแผนการใหญ่ทั้งสิ้น เมื่อลงมือคราใดจึงยิ่งใหญ่ราวเสียงฟ้าแผดคำราม
ส่วนคนอีกประเภทนั้นเป็นพวกที่มีความตั้งใจ คนประเภทนี้มีใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ หากได้กัดเมื่อใดก็จะมิมีทางปล่อยและปรารถนาให้ทุกสิ่งออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
คนประเภทนี้น่ากลัวเพราะคำว่า ‘ตั้งใจ’ สองพยางค์นี้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ลอบสังหารที่แอบอยู่ในเงาดำมืดหรือจะเป็นนักรบผู้หลงใหลในดาบ คนประเภทนี้ย่อมอุทิศตัวให้สิ่งที่รักอยู่แล้ว พวกเขาย่อมทำในสิ่งที่ถนัดได้เยี่ยมยอด
ติ้งอันป๋อกล่าวว่านอกจากคนสองประเภทนี้ คนอื่น ๆ ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์ก็มิสมควรเกรงกลัวทั้งสิ้น แท้จริงแล้วเจ้าควรถือดาบ แต่ตอนนี้กลับหันมาจับพู่กันเสียได้ มิหนำซ้ำยังหลงคิดว่าตนสามารถประพันธ์บทกวีแสนวิจิตรบรรจงออกมาได้อีกด้วย
เขาเรียกคนเช่นเจ้าว่า…เจ้างั่ง ! ”
ซ่งชิงเถียนหน้าเปลี่ยนสีอย่างกะทันหันเพราะมิเข้าใจว่า ‘เจ้างั่ง’ แปลว่าอันใด ? แต่ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นคำด่า
บัดนี้สีหน้าของขันทีเจี่ยนิ่งเฉย เมื่อเห็นเช่นนี้ซ่งชิงเถียนจึงเกิดความกังวลว่าที่วังหลวงอาจจะมีการเตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว
การเคลื่อนไหวครานี้เงียบกริบและระมัดระวังอย่างถึงที่สุด แล้วอีกฝ่ายล่วงรู้ได้เยี่ยงไรกัน ?
……
……
ยามโฉ่วที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
ณ ศาลากลางอุทยานด้านหน้าวังเตี๋ยอี๋
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังต้มสุราอยู่หนึ่งกา โดยมีฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งประทับอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน เบื้องหลังของฟู่เสี่ยวกวนคือสวี่ซินเหยียน
“หากคิดจะหยุดยั้งข่าวลือในยุทธภพก็เกรงว่าจะมิทันเสียแล้ว…” ฟู่เสี่ยวกวนรินสุราให้ทั้งสองพระองค์แล้วเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมคิดว่าก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างที่เอ่ยก็ได้เงยหน้าขึ้นมองสีพระพักตร์ของฮองเฮาซั่งที่ดูเศร้าสลดลงเล็กน้อย เขายิ้มแล้วทูลว่า “ท่านแม่ยายมิจำเป็นต้องเก็บเรื่องเล็กน้อยนี้มาใส่พระทัย เพียงสังหารพวกจอมยุทธที่เก่งกาจนั้นเสียก็สิ้นเรื่อง ส่วนข่าวลือเหล่านั้นถ้าพวกเราสังหารคนพวกนี้มากพอก็ย่อมทำให้ข่าวลือหายไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าหนึ่งครา “คนทรยศพวกนี้สมควรตาย เรื่องนี้เจ้ามีสิทธิจัดการทุกอย่าง คนที่สมควรฆ่าก็จงฆ่าเสียให้หมด ! ”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา พวกมันคงกระโดดโลดเต้นอยู่ได้มินานหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…กระหม่อมมีข้อเสนอแนะ ขอทรงรับฟังด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากล่าวมาเถิด”
“พวกเรามิสามารถห้ามคนในยุทธภพมิให้ฝึกวรยุทธ์ได้ จะดีกว่าหรือไม่ถ้าพวกเราใช้โอกาสนี้ก่อตั้งสำนักควบคุมยุทธภพหรืออาจจะเรียกว่า…สำนักมือปราบหกประตู ! ขอฝ่าบาทมีราชโองการให้ชาวยุทธไปขึ้นทะเบียนที่สำนักมือปราบหกประตู ส่วนผู้ใดที่ขึ้นทะเบียนแล้วก็จะได้รับบัตร และบัตรที่ขึ้นทะเบียนนี้สามารถเดินทางไปได้ทั่วหล้าพ่ะย่ะค่ะ…”
“พวกชาวยุทธที่ไร้บัตรจะถูกมองว่าเป็นอันธพาล ขุนนางสามารถจับกุมเข้าคุกได้ หากเป็นเช่นนี้ชาวยุทธทั้งหมดก็ย่อมอยู่ในกฎระเบียบ เรื่องการใช้วรยุทธก่อความมิสงบย่อมหมดไป”
ดวงพระเนตรของฝ่าบาททอประกาย แม้จะยังมิค่อยเข้าพระทัยนักว่าเหตุใดจึงตั้งชื่อว่าสำนักมือปราบหกประตู แต่ก็รับรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด “ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ข้าจะมีราชโองการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการประชุมราชสำนักตอนรุ่งเช้า”
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นภายในพระราชวังที่เงียบสงบ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เงยหน้าขึ้นมา แต่ทว่าได้ยกจอกสุราขึ้นมากระดกดื่มจนหมด
ดูเหมือนคนจากป่ากระบี่ได้มาเยือนพระราชวังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าเสียงปืนเมื่อครู่นั้นเกรงว่าพวกเขาจะมิสามารถเข้ามาได้เสียแล้ว
ฮองเฮาซั่งเงยพระพักตร์ไปยังท้องนภา แล้วหันเหสายพระเนตรมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ได้ตรัสว่า “หากข้าเป็น…รองเช่อเหมินจริง ๆ เจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ”
หลังจากฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองฮองเฮาซั่ง มุมปากของเขาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา “กระหม่อมมิทราบว่าสิ่งใดที่เรียกว่าเช่อเหมิน แต่รู้เพียงแค่ว่าท่านคือแม่ยายของกระหม่อม”
ฮองเฮาซั่งได้แย้มพระโอษฐ์ออกมา ความเศร้าหมองที่ปรากฏอยู่บนพระพักตร์ก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจนสิ้น
พระองค์ทอดพระเนตรไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนดั่งสายลมอบอุ่นที่พัดมาในยามราตรีของต้นฤดูร้อน
“ข้ามองคนมิผิดจริง ๆ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)