นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 677

ตอนที่ 677 ย้อมสีป่าทึบ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่ยี่สิบสอง เดือนห้า ยามเหม่า

รุ่งอรุณแห่งภูเขาชิงหยุน มีหมอกลอยสูงปกคลุมช่างดูสงบและเป็นสิริมงคลยิ่ง

ยามนั้นฟู่เสี่ยวกวน ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย และสวี่ซินเหยียนกำลังเดินเล่นอยู่ที่บริเวณริมทะเลสาบเทียนซินในสำนักเต๋า

“มีทิวทัศน์สวยงามตระการตามากมายบนภูเขาชิงหยุน…” ซูเจวี๋ยใช้นิ้วมือชี้ไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่ตั้งตระหง่านสุดลูกหูลูกตา “นั่นคือภูเขาถาว ในเดือนสามของทุกปีจะมีดอกท้อผลิบาน มองดูแล้วงามดุจภาพจิตรกรรมเลยล่ะ”

จากนั้นก็ชี้ไปยังภูเขาที่ตั้งอยู่ไกลอีกหนึ่งลูก “บนภูเขาลูกนั้นมีน้ำตกที่สูงตระหง่านและกว้างใหญ่อยู่ หากเป็นช่วงฤดูร้อนสถานที่แห่งนั้นย่อมเป็นจุดหลบจากไอร้อนได้ดีเลยทีเดียว ดังนั้นท่านอาจารย์จึงสร้างกระท่อมหลังคามุงใบจากไว้ที่นั่น 1 หลัง”

ฟู่เสี่ยวกวนเพ่งสายตามองไปยังสถานที่แสนไกลแล้วค่อย ๆ เดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ตะลอนพร้อมสุรา ต้มชากลางป่าสนและป่าไผ่ ประพันธ์ความใต้ป่าท้อ ได้ถ้อยคำเด่นกลางบุปผาและเสียงวิหค ฟังเสียงนกกระเรียนวันหนาวจัด ชมสกุณาบินว่อนยามฟ้าใส ดูมัจฉาเริงระบำในน้ำไหลเอื่อย…ศิษย์พี่ใหญ่ ที่แห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่ข้าใฝ่ฝันจะอาศัย แต่ทว่าวันนี้กลับไร้หนทาง”

ซูเจวี๋ยหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนและในขณะนั้นก็รู้สึกว่าคนหนุ่มที่อยู่ข้างกายได้ย่ำเข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิตเข้าเสียแล้ว คนหนุ่มที่เดิมทีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต แต่ทว่าบัดนี้ได้เผยให้เห็นถึงความไร้ชีวิตชีวา สีหน้าแบบนี้มิเคยปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน

“เจ้าเหนื่อยแล้วสินะ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ายอมรับ “ข้ารู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ บางคราข้าก็คิดว่าต้องดิ้นรนถึงเพียงนี้ไปเพื่อสิ่งใดกัน ? ”

เขาเหยียดยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “หากจะบอกว่าเพื่อราษฎรก็คงจะเกินจริงไปหน่อย เพราะข้าเพียงแค่อยากทิ้งบางสิ่งไว้บนโลกใบนี้ก็เท่านั้น ข้าก็แค่อยากให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับข้ามีชีวิตที่ดีขึ้นก็เท่านั้นเอง”

เขายืดหลังตรงจากนั้นความเมื่อยล้าที่แสดงให้เห็นบนสีหน้าก็ได้หมดสิ้นไป “บุรุษเมื่อเกิดมาบนโลกจะต้องมีชีวิตดั่งผู้มีเกียรติและตายอย่างถูกนับถือ ในเมื่อเป็นผู้แข็งแกร่งได้เราจะเลือกเป็นผู้ยอมจำนนหรือ ? ในเมื่อสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสงบสุขก็จงบ่มเพาะตนเองแล้วอุทิศชีวิตนี้เสีย ! ”

ซูเจวี๋ยยังคงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน เพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กลายเป็นอีกคนในทันใด

บัดนี้เขาได้กลายเป็นผู้กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ส่วนคนที่ดูเหมือนจะย่างเข้าวัยบั้นปลายชีวิตผู้นั้น ถูกสะบัดทิ้งหายไปในกลีบเมฆาเสียแล้ว

ซูเจวี๋ยรู้สึกไขว้เขวเล็กน้อยเพราะอยู่ ๆ ก็เริ่มสับสนว่าคนใดคือฟู่เสี่ยวกวนตัวจริงกันแน่

แต่ทว่าเมื่อได้ตริตรองให้ดีอีกครา ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น

ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น มิใช่เทพเทวดาแต่อย่างใด

ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีหลากหลายอารมณ์ มีความสับสนและซับซ้อน

มนุษย์ผู้ซึ่งใช้ความคิดย่อมรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา แต่ทว่าเขาเป็นผู้ที่มองการณ์ไกลและสามารถสลัดความรู้สึกเหนื่อยล้านั้นออกไปได้เพื่อต้อนรับแสงสุริยาแห่งเช้าวันใหม่ด้วยทัศนคติใหม่ ๆ

“ท่านอาจารย์…มิใช่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบ “มิใช่จริง ๆ ”

“เช่นนั้นพวกเราจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด ? ”

“รอให้พวกศิษย์พี่รองตื่นแล้วร่ำลากันเสียหน่อย จากนั้นค่อยออกเดินทาง การจากลาครานี้…มิรู้เลยว่าอีกนานเท่าใดถึงจะได้กลับมายังสำนักเต๋าอีกครา”

“ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ให้ก่อตั้งสำนักเต๋ายังสถานที่ที่เจ้าอาศัยอยู่”

“หากท่านอาจารย์สังหารพวกป่ากระบี่สิ้นซากแล้ว พวกเราก็สามารถใช้พื้นที่ของสำนักป่ากระบี่สร้างสำนักเต๋าขึ้นมาได้… ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ไปต่อสู้กับพวกป่ากระบี่เพียงลำพัง แล้วท่านจะมิเป็นอันตรายหรอกหรือ ? ”

ซูเจวี๋ยยิ้มกว้างออกมา “ผู้ที่สามารถสกัดกระบี่ของท่านอาจารย์ได้นั้น เกรงว่าบนผืนปฐพีนี้จะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว”

“ไร้เทียมทานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

“ไร้เทียมทานเช่นนั้นแหละ ! ”

ทั้งสองยืนสนทนาอยู่ริมทะเลสาบเทียนซิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดจากการสู้รบดังขึ้นมาเป็นระยะ

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็หันไปมองยังต้นทางของเสียง

ซูเจวี๋ยจัดหมวกของตนแล้วเอ่ยว่า “พวกรนหาที่ตายมาแล้วสินะ ข้าจะส่งพวกมันไปลงนรกเอง ! ”

“เชิญศิษย์พี่ใหญ่ ! ”

ซูเจวี๋ยเหยียดกายขึ้นจากนั้นก็เหินไปบนนภา มีเสียงผิวปากดังสนั่นอยู่เบื้องบน จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นร่างของคนเหินขึ้นมาจากห้องต่าง ๆ ของสำนัก พวกเขาเหล่านั้นต่างมุ่งไปยังที่ตั้งของซุ้มประตู กระบี่ยาวในมือสะท้อนแสงส่องประกายวับวาว

“ท่านมิไปด้วยหรือ ? ” สวี่ซินเหยียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงบริเวณโขดหินใหญ่ตรงเขื่อนกั้นน้ำ “ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับสามจึงมิขอยุ่งเกี่ยวก็แล้วกัน… มาเถิด มานั่ง…” เขาตบลงตรงก้อนหินที่อยู่ข้างกายแล้วยกยิ้มขึ้นมา “ตอนออกเดินทางมา เวิ่นหวินได้กำชับว่าลูกใกล้คลอดเต็มทีแล้ว จึงให้ข้าสังหารคนน้อยลงได้ยิ่งดี”

แท้จริงแล้วนางมิรู้ว่าฝีมือเช่นข้าจะสามารถประหัตประหารได้สักกี่คนเชียว ! และข้าก็มิโปรดปรานการสังหารคนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)