อ่านสรุป ตอนที่ 697 ยุคสมัยใหม่ จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 697 ยุคสมัยใหม่ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 697 ยุคสมัยใหม่
สุริยาใกล้จะลาลับขอบนภาเต็มที ส่องแสงวับวาวคล้ายปีกจั๊กจั่นชวนหลงใหลให้แก่กำแพงเมืองว่อเฟิง
สายลมที่พัดมาจากแม่น้ำซิ่วสุ่ยได้พาไอร้อนระอุของฤดูร้อนเข้ามาด้วย อากาศมิได้ทำให้เกิดความกระวนกระวายใจขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับเเฝงไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยฟุ้ง
กลุ่มคนที่หนิงหยู่ชุนนำมาด้วยนั้นมีกงซุนเซ่อ ซังเหลียง และหม่าซิงคง นอกเหนือจากนี้ยังมีสองพ่อลูกสีฉวินเหมยและสีส่วง อีกทั้งยังมีชืออีหมิงและเฟ่ยเชียนรวมทั้งสิ้น 8 คน
บัดนี้พวกเขาต่างชะเง้อคอมอง พวกกงซุนเซ่อรอคอยการมาถึงของติ้งอันป๋อเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้มาจัดการให้พวกตนไปรับหน้าที่ยังส่วนต่าง ๆ
ด้านสีฉวินเหมยทราบถึงสิ่งที่ติ้งอันป๋อร้องขอต่อตนเป็นอย่างดี ช่วงเวลาเหล่านี้ตนกำลังจัดการเรียบเรียงประมวลกฎหมายอาญาหยู แต่ตอนนี้ตนยังมิรู้เลยว่าจะแบ่งแยกกฎหมายอาญากับระบบประมวลกฎหมายเยี่ยงไรดี
ชืออีหมิงและอีก 4 คนที่เหลือมีอารมณ์ซับซ้อนเพราะที่หอซื่อฟางในตอนนั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่พวกเขาทั้งสี่ แต่ทว่าตอนนี้พวกเขายังมิรู้เลยว่าตนสามารถทำอันใดให้ฟู่เสี่ยวกวนได้บ้าง
หนิงหยู่ชุนและสีฉวินเหมยยืนเคียงไหล่กัน สำหรับอดีตเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เยี่ยงสีฉวินเหมยนั้น หนิงหยู่ชุนรู้สึกนับถือจากใจจริง หากมิใช่เพราะเรื่องฉาวโฉ่ของเซวี๋ยติ้งชานทำให้เสนาบดีท่านนี้ต้องเข้าไปเกี่ยวพันโดยไร้มูลเหตุ ผู้มีความสามารถเช่นเขาคงมิตกอยู่ในสภาวะตกต่ำถึงเพียงนี้เป็นแน่
“หากเทียบกับเมืองจินหลิง สถานที่แห่งนี้ช่างเงียบเหงากว่ามากโข แต่ทว่าอากาศนั้นดีกว่าเมืองจินหลิงมากนัก”
หนิงหยู่ชุนเหลือบมองแสงสุริยาที่ส่องรำไรแล้วกล่าวต่อว่า “ช่วงที่ข้าเดินทางไปเยือนหลากหลายแห่งได้หยุดพักที่อำเภอซิ่วสุ่ยนานที่สุด เมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่ซานต้ายนั้นเติบโตได้งดงามมากยิ่งนัก… ได้ยินชาวนานามหวางเอ้อเอ่ยว่าชื่อของพันธุ์ข้าวนี้ติ้งอันป๋อตั้งให้ และหวางเอ้อผู้นี้ก็คือคนที่ติ้งอันป๋อส่งมาจากซีซานนั่นเอง”
“หวางเอ้อได้เอ่ยว่าสถานที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์มากยิ่งนัก ลมฝนพอเหมาะ หากอิงจากแนวโน้มของการเจริญเติบโตเช่นนี้ คาดว่าแปลงนา 1 หมู่จะสามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวได้มากกว่า 800 ชั่งเลยทีเดียว”
สีฉวินเหมยหันไปมองหนิงหยู่ชุนด้วยสีหน้าแววตาตื่นตะลึง
“นี่มัน…ข้าจำได้ว่าต่อให้เป็นแปลงนาที่อยู่ติดริมสองฝั่งแม่น้ำ ใน 1 หมู่นั้นสามารถเก็บเกี่ยวได้มิเกิน 200 ชั่งเท่านั้นเอง เหตุใดถึงเก็บเกี่ยวได้เยอะถึงเพียงนี้กันเล่า ? ”
หนิงหยู่ชุนยิ้มร่าและในขณะที่กำลังจะอธิบายนั่นเอง ก็คาดมิถึงว่าจะมีอีก 4 คนกำลังเดินมาทางพวกตน
มองดูแล้วมิรู้จัก ดังนั้นหนิงหยู่ชุนจึงแค่ชายตามองหนึ่งคราแล้วเอ่ยต่อว่า “หวางเอ้อเอ่ยว่าพันธุ์ข้าวเหล่านี้เป็นพันธุ์ที่ติ้งอันป๋อเริ่มเพาะตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด ตอนนั้นเขาตั้งชื่อว่าฟู่เอ้อต้าย และในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าได้เริ่มเพาะอีกคราแล้วขนานนามว่าฟู่ซานต้าย ซึ่งก็คือเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูกในว่อเฟิงเต้าในทุกวันนี้
และหวางเอ้อยังกล่าวอีกว่าเขตเหยานั้นปลูกไปแล้วทั้งสิ้น 5,000 หมู่ แต่ทว่าจำนวนที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ยังมิสูงมากถึงเพียงนี้ จากการคาดเดาของเขาเห็นว่าน่าจะเก็บเกี่ยวได้ราว 600 ชั่ง”
คนทั้งสี่ที่เดินเข้ามานั้นคือพวกของจังเหวินฮุยนั่นเอง เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ติ้งอันป๋อยังทำการเพาะปลูกเป็นด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
ไม่ ! ผลผลิตจะสูงถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?
แม้ว่าพวกเขามิเคยได้ทำนาเลยสักครา แต่ทว่าก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง
ต่อให้เป็นที่ราบว่อเฟิงเองก็ตาม ผลผลิตของข้าวจะอยู่ที่หมู่ละ 300 กว่าชั่งเท่านั้น และยังเป็นการเก็บเกี่ยวข้าวต่อที่นา 1 หมู่ที่ได้ผลผลิตสูงที่สุดในแคว้นอี๋อีกด้วย
ท่านใต้เท้าผู้นี้…คาดว่าจะเป็นจือโจวสินะ ท่านเอ่ยว่าเขตเหยาอันใดนั่นเก็บเกี่ยวข้าวได้มากถึง 600 ชั่งต่อ 1 หมู่โดยประมาณ !
มิเพียงแต่พรรคพวกของจังเหวินฮุยที่ไม่เชื่อ แม้แต่สีฉวินเหมยและชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังทั้งเจ็ดก็มิกล้าปักใจเชื่อเช่นกัน
สีหน้าของจังเหวินฮุยแสดงออกถึงความประหลาดใจ แต่ทว่าเขาก็คิดขึ้นมาได้ในทันพลันว่าเรื่องนี้ไร้ความจำเป็นต้องคิดให้สับสนวุ่นวายและยิ่งไร้ความจำเป็นที่จะเสาะหาความจริง
มีขุนนางคนใดบ้างที่มิโอ้อวดเกินจริง ?
ขุนนางต้องมิใช่เช่นนี้ !
หรือใต้เท้าผู้นี้จะหน้าไหว้หลังหลอก หากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเขาก็คงพ่ายแพ้เสียแล้ว
หนิงหยู่ชุนมองคนทั้งสี่แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “พวกท่านทั้งหลายคงมิเชื่อสินะ มิเป็นไร ! พวกเรายังได้คลุกคลีกันไปอีกยาวนาน แล้วพวกท่านจะได้ประจักษ์แก่สายตาเอง”
“ข้าน้อยมิบังอาจมิเชื่อหรอก เพียงแต่ว่า เพียงแต่ว่า…สมองนี้ถูกปลูกฝังความคิดเดิม ๆ มาช้านานแล้วเท่านั้นเอง บัดนี้พวกข้าน้อยปรารถนาจะเลี้ยงอาหารแก่ท่านใต้เท้าด้วยใจจริง จะดีหรือไม่ถ้าข้าน้อยจะเป็นเจ้าภาพเชิญใต้เท้าร่วมดื่มสุราด้วยกันสักครา ? ”
“พวกท่านคงปรารถนาจะมาต้อนรับติ้งอันป๋อ” หนิงหยู่ชุนเอ่ยอย่างรู้ทันจนทำให้จังเหวินฮุยหน้าแดงก่ำและต้องการแก้ต่าง แต่ทว่าถูกหนิงหยู่ชุนชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “ก็มิได้ว่าอันใดหรอก อีกประเดี๋ยวพอติ้งอันป๋อมาถึงแล้ว หากเขายินยอม ข้าก็จะติดตามเขาไปร่วมดื่มกับพวกท่านด้วย แต่หากเขามิยินยอม…”
หนิงหยุ่ชุนกางแขนออก “เมื่อภาระงานของข้าเสร็จสิ้นเมื่อใด ข้าจะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกท่านทั้งสี่เอง”
“เช่นนั้นมิเหมาะสมหรอกขอรับ ! ”
“ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ในอดีตพวกท่านต้องประสบกับพวกที่เอาแต่ฉวยผลประโยชน์ ตั้งแต่บัดนี้สืบไป อย่างน้อยเรื่องเยี่ยงนี้ก็จะมีให้เห็นในเมืองว่อเฟิง นี่เป็นคำสั่งของติ้งอันป๋อต่อขุนนางในว่อเฟิงเต้าทุกคน จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้เหล่าพ่อค้าได้ทำธุรกิจด้วยความสบายใจและห้าวหาญ”
“หากพวกท่านสามารถหาเงินได้ ว่อเฟิงเต้าแห่งนี้ย่อมสามารถอู้ฟู่ขึ้นมาได้ ถ้าพวกท่านสามารถมีชีวิตที่ดีได้ พวกเราในฐานะขุนนางจึงจะได้เชิดหน้าชูตา ! ”
สิ่งที่หนิงหยู่ชุ่นเอ่ยมาทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้ความคิดของคนทั้งสี่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ทว่าพวกเขาก็มิอาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
ทันใดนั้นเองขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนก็เคลื่อนตัวเข้ามาจากที่ห่างไกล
ทุกคนจึงหันไปมองขบวนรถม้าที่เคลื่อนตรงมาเป็นสายตาเดียว ราวกับว่าแสงสุริยายามพลบค่ำได้ชุบขบวนรถม้านั่นให้ส่องประกายเป็นสีทอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)