สรุปเนื้อหา ตอนที่ 713 พบจัวตงหลายอีกครา – นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
บท ตอนที่ 713 พบจัวตงหลายอีกครา ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ในหมวดนิยายทะลุมิติ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 713 พบจัวตงหลายอีกครา
เยียนเหลียงเจ๋อกำลังวางแผนสังหารปลาคุนตัวนั้นซึ่งเป็นปลาคุนตัวที่เขาและท่าป๋าเฟิงเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นฟู่เสี่ยวกวน และในขณะเดียวกันนั่นเองฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังต้อนรับการมาถึงของคณะจัวตงหลายอย่างเป็นกันเอง ณ จวนเต้าถาย
“ท่านพ่อแจ้งในจดหมายว่าพวกเจ้าจะเดินทางมาเมืองว่อเฟิง และข้าก็ได้เฝ้ารอการมาถึงของพวกเจ้าอย่างกระตือรือร้น…”
ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น เขากำลังต้มชาและจ้องมองจัวตงหลายไปพลาง บุรุษผู้นี้ยังหล่อเหลาดังเดิมแต่ทว่าสีหน้าแห่งความหยิ่งทะนงได้หายไปที่ใดแล้วเล่า ?
หรือว่าเขาจะได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองกัน ?
ผู้ใดที่สามารถขัดเกลาคนยโสเยี่ยงนี้ให้ยอมศิโรราบได้ ? ช่างเก่งกาจเสียจริง
จัวตงหลายหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เขาประคองสองมือขึ้นคารวะ “ตามกำหนดการเดิม ข้าควรมาถึงเมืองว่อเฟิงตั้งแต่สิบวันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทว่าหลังจากมาถึงเมืองว่อเฟิง ข้าได้เดินทางให้ช้าลงเพื่อเที่ยวชมรอบ ๆ ”
“ก็ดี ! หากอยากเป็นขุนนางที่ดีก็ควรเที่ยวชมให้มากเข้าไว้ ตลอดทางมานี้เจ้าได้เห็นสิ่งใดบ้าง ? ”
จัวตงหลายหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความนับถือ “สิ่งที่ข้าได้เห็นคือความหวัง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับตกตะลึงและคาดมิถึงเอาเสียเลยว่าเขาจะตอบเช่นนี้ จัวตงหลายรีบเอ่ยต่อว่า “เดิมทีข้าคิดว่าว่อเฟิงเต้าเป็นเขตที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ดังนั้นการอพยพ การลงหลักปักฐาน และการฟื้นฟูต่าง ๆ อาจจะต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี เดิมทีข้าคิดว่าว่อเฟิงเต้าจะรกร้างถึงขีดสุด เพราะแท้จริงแล้วเรื่องเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกนาน
แต่คาดมิถึงจริง ๆ ว่าตลอดทางที่ผ่านมานั้น กลับมีภาพแห่งความเจริญรุ่งเรืองให้เห็น
แน่นอนว่ายังมีที่นาอีกมากมายที่ถูกทิ้งร้าง ยังมีหมู่บ้านอีกหลายแห่งที่รกร้างไร้ผู้คน แต่ทว่าในจุดที่มีผู้คนนั้นกลับมีบรรยากาศที่แตกต่าง เช่นนั้น…อีกครึ่งปีให้หลังว่อเฟิงเต้าแห่งนี้ย่อมกลับมามีชีวิตชีวาและย่อมดีกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ! ”
คำเอ่ยเหล่านี้ฟังแล้วรื่นหูมิน้อย
และฟังรื่นหูกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเคยเอ่ยไว้ในเมืองกวนหยุนเมื่อปีกลายเป็นไหน ๆ
หรือในระยะเวลาหนึ่งปีนี้เขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิรู้ว่าที่จัวตงหลายเปลี่ยนไปนั้น เป็นเพราะจัวตงหลายเหยียบเข้ามาในราชอาณาจักรหยูและได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำมาทั้งหมด
“ข้าคิดว่าในจำนวนพวกเจ้าทั้งสิบคน ให้แบ่งห้าในสิบไปประจำการที่สำนักงานเลขาธิการ ส่วนอีกห้าคนให้ประจำการที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน”
จัวตงหลายและคณะอีกเก้าคนมิเข้าใจว่าสำนักงานเลขาธิการและสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นคือสิ่งใด ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายขยายความให้แก่พวกเขา เขายังคงรินชาไปพลางเอ่ยไปพลาง “ในเมื่อพวกเจ้ามาจากราชวงศ์อู๋ หลังจากแยกไปประจำสองสำนักงานนี้แล้ว ให้พวกเจ้าพึงจำเอาไว้ว่ามีสิทธิ์ในการเสนอข้อชี้แนะ แต่ทว่าไร้สิทธิ์ในการออกนโยบาย…
หมายความว่าพวกเจ้าสามารถเสนอข้อชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องใดก็ได้ในว่อเฟิงเต้า แต่ทว่าในท้ายที่สุดแล้วจะถูกนำไปใช้หรือไม่นั้นก็ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหัวหน้าในสำนักงาน”
พวกของจัวตงหลายเข้าใจได้ในที่สุดว่าพวกตนมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวนั่นเอง
“…รับตำแหน่งนายอำเภอมิได้หรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตามองเขาหนึ่งครา “เจ้าเพ้อเจ้ออันใดอยู่กัน ? เจ้าเป็นชาวอู๋… จะมาเป็นขุนนางของราชวงศ์หยูได้เยี่ยงไร ? ”
จัวตงหลายจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าขมขื่น ตัวเจ้าเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋มิใช่หรือ !
เดิมทีบุรุษอีกเก้าคนที่เหลือต่างก็รู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก เพราะชายที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นว่าที่องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ส่วนพวกตนก็เป็นว่าที่เสนาบดีของพระองค์ !
ก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองกวนหยุน พวกเขาได้มีโอกาสไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ พระองค์ทรงตรัสเสียยาวเหยียดและหนึ่งในนั้นมีความหมายว่าฟู่เสี่ยวกวนจะกลับมาครองบัลลังก์ที่ราชวงศ์อู๋ และพวกตนก็คือสมาชิกคนสำคัญของว่าที่จักรพรรดิพระองค์นี้
นี่ถือเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ พวกตนจะได้มีโอกาสเติบใหญ่ไปพร้อมกันกับองค์จักรพรรดิ และในอนาคตพวกตนย่อมเป็นเสนาบดีที่จักรพรรดิทรงไว้เนื้อเชื่อใจ
เมื่อเขารับปากเช่นนั้น บุรุษทั้งสิบคนจึงรู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นมา องค์จักรพรรดิทรงตรัสแล้วว่ายังมีเวลาอีกสามปีและภายในสามปีนี้หากได้มีโอกาสใกล้ชิดองค์ชายก็จงเรียนรู้หลักการบริหารแคว้นไว้ให้มาก
“คำว่าจุดสูงสุดนั้นเกรงว่าจะมีความหมายแตกต่างจากสิ่งที่พวกเจ้าคิด”
ฟู่เสี่ยวกวนดื่มชาไปพลางมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไปพลาง สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจวาดภาพเค้กก้อนใหญ่ ๆ ขึ้นมาหนึ่งก้อน !
สายตาของชายหนุ่มเหล่านั้นจ้องมองมาทางฟู่เสี่ยวกวนตามคาด สายตาเหล่านั้นเฝ้ารอด้วยความกระตือรือร้น
“เรือรบของข้า…เป็นเรือทำสงครามประเภทที่พวกเจ้ามิเคยพบเห็นมาก่อน เพราะอีกฝากหนึ่งของมหาสมุทรยังมีอีกหลายแคว้นรอให้พวกเราไปปราบปราม ! ”
“อาณาเขตย่อมมิถูกจำกัดดังเช่นทุกวันนี้ และแน่นอนว่าพวกเราจะมิไปรุกรานแคว้นฝานกับแคว้นหยู”
“ทหารราบของพวกเราจะมีอาวุธและชุดเกราะที่ล้ำสมัยที่สุด ทหาร 1 นายสามารถรบชนะศัตรู 100 นายได้… ไร้ผู้ใดในใต้หล้ามาเทียบเคียงได้ ! ”
“ประชากรของเราจะมีเครื่องนุ่งห่มอุ่นกายและกินอิ่มท้องทุกคน อีกทั้งยังอาศัยและสืบพันธุ์อย่างมีความสุขบนผืนปฐพีแห่งราชวงศ์อู๋”
“ใต้หล้านี้กว้างใหญ่มากยิ่งนัก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าจะสามารถเดินทันรอยเท้าของข้าได้ แล้วข้าจะนำพวกเจ้าให้ไปพบเจอทัศนียภาพที่บรรพบุรุษของพวกเรามิเคยพบพานมาก่อน ข้าจะนำพวกเจ้าปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาสูงตระหง่านนับหมื่นจ้างเพื่อเรียนรู้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับมีพลังอำนาจแผ่ซ่านออกมาจากร่าง และในสายตาของพวกจัวตงหลายก็ได้ประจักษ์ถึงพลังแห่งความยิ่งใหญ่ไพศาลอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในช่วงเวลาที่กำลังคลุมเครืออยู่นั่นเอง จัวตงหลายถึงกับรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนมีร่างน่าเกรงขามซ่อนเอาไว้อีกร่าง ราวกับว่าเขาได้สวมชุดคลุมสีทองเอาไว้บนเรือนร่างอีกทั้งกำลังจัดการทุกสิ่งอย่างเด็ดเดี่ยวและเปียมด้วยพลัง !
แต่หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยออกมาว่า “ไอหยา… แท้ที่จริงข้าเพียงแค่อยากให้เศรษฐีที่ดินเยี่ยงข้ามีที่นามากกว่านี้สักหน่อย การเป็นข้าช่างลำบากมากยิ่งนัก ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)