สรุปตอน ตอนที่ 762 ชมบุปผากลางเมฆหมอก – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
ตอน ตอนที่ 762 ชมบุปผากลางเมฆหมอก ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 762 ชมบุปผากลางเมฆหมอก
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู จึงพบว่าแม้แต่มือของตนก็ยังสั่นระริก !
‘โลกนี้ราวกับความฝัน
ชีวิตมนุษย์จะผ่านหนาวได้สักกี่ครา
ลมโชย ใบไม้ร่วงตามทางเดิน
มองไปยังไรผมที่เริ่มหงอกขาว
เมื่อสิ้นสุราชั้นเลิศ แขกเหลือน้อยจนปวดอุรา จันทราถูกเมฆาบดบัง
ค่ำคืนไหว้พระจันทร์ผู้ใดเดียวดายเยี่ยงข้า
ทำได้เพียงมองไปทางเหนือพร้อมสุราอย่างเดียวดาย’
นี่คือบทกวี ‘ซีเจียงเยว่ บทความฝันอันยิ่งใหญ่’ ที่เขาได้ประพันธ์ขึ้นมาในงานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋เมื่อปีกลาย !
แต่บัดนี้กลับปรากฏขึ้นในกระดาษสีเหลืองเก่าแก่จากรัชสมัยไท่เหอปีที่สี่สิบเก้า !
ห่างจากปัจจุบันเป็นเวลา 13 ปี !
‘บุตรชายของข้า !
ในยามที่เจ้าได้เห็นกวีบทนี้ เจ้าคงรู้สึกตกตะลึงมากใช่หรือไม่ ?
ยามที่แม่เขียนจดหมายนี้เอาไว้ แม่ก็ได้บังเกิดความลังเลอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว เนื่องจากแม่มิอาจมิรักเจ้าได้ เพราะเจ้าจะตายจากไป แล้วกลับมามีชีวิตอีกคราโดยหาใช่ลูกชายคนเดิมของแม่แล้ว
แม่มิกล้ารักเจ้าเลย !
แต่เมื่อได้สนทนากับท่านตาของลูกและเมื่อถูกพระธรรมขัดเกลาจิตใจ บัดนี้แม่จึงตาสว่างแล้ว มิว่าเยี่ยงไรการที่เจ้าใช้ร่างกายของลูกชายข้าก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นลูกชายของแม่แล้ว
น่าเสียดายเหลือเกินที่แม่มิอาจอยู่เคียงข้างเจ้าจนเติบใหญ่ได้ มิอาจอยู่รอดูวันที่เจ้าจากไปและเปลี่ยนร่างเป็นวิญญาณใหม่ แม้แม่จะรู้ว่าวิญญาณใหม่ของเจ้านั้นเก่งกาจมากก็ตาม
แต่ในใจของแม่มีความทุกข์ที่มิอาจก้าวผ่านไปได้ เพราะเจ้าเป็นดั่งปิศาจ !
หากเจ้ามิมา ลูกข้าจะจากไปได้เยี่ยงไร ?
หากข้ายังมิจากไปก็เกรงกลัวเสียเหลือเกิน ว่าจะเป็นผู้ลงมือสังหารเจ้าด้วยตนเอง !
ในอนาคต สักวันหนึ่ง บางทีข้าอาจจะสามารถก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้น…ก็มิรู้แล้วเช่นกันว่าข้าจะอยู่ที่ใด
แม่ต้องไปแล้ว สะบัดแขนเสื้อกว้าง มิพรากไปแม้ม่านเมฆสักผืน
เจ้ามาอย่างเงียบ ๆ แม่มิอาจครวญเพลง เป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงจากลา จึงขอเอ่ยกับลูกชายของแม่ว่า ลาก่อน !
แท้จริงแล้วแม่อยากรู้เสียเหลือเกินว่าเคมบริดจ์อยู่ที่ใด
คืนวันที่สาม เดือนสิบสอง รัชสมัยไท่เหอปีที่สี่สิบเก้า สวี่หยุนชิง’
……
……
ดังนั้น…เรื่องที่สวี่หวยซู่กล่าวว่าสมองของมารดามีปัญหา แท้จริงแล้วสมองของนางมีปัญหาจริง ๆ เนื่องจากนางเป็นผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ !
นางเคยผ่านช่วงประวัติศาสตร์นี้มาก่อนแล้ว !
นางรู้ว่าเขาจะมายังโลกใบนี้ อีกทั้งยังใช้ร่างกายของบุตรชายนางอีกด้วย !
และนางก็รู้ว่าเขาจะประพันธ์บทกวีเหล่านั้นขึ้นมา รวมไปถึงบทกวี ‘อำลาเคมบริดจ์’ ที่เขาได้ประพันธ์ให้นางที่หน้าหลุมศพ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาถึงอยู่ที่หลินเจียงเมื่อสองสามวันก่อน
มิใช่สิ !
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอีกคราจากนั้นก็ชะงักงันด้วยความตกตะลึง บทกวีอำลาเคมบริดจ์นี้เขาทิ้งไว้บนป้ายหน้าหลุมศพของนาง แต่ทว่าสวี่หยุนชิงที่กลับมาเกิดใหม่ก็รับรู้มันก่อนแล้ว…
นางยังมิตาย !
ฟู่เสี่ยวกวนรีบลุกขึ้นยืนในทันใด ในเมื่อนางกลับชาติมาเกิดใหม่ นางย่อมรู้อนาคตว่าจะเป็นเยี่ยงไรต่อไป ต่อให้ชาติที่แล้วนางตายตั้งแต่อายุน้อย แต่ทว่าเมื่อชาตินี้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์นั้นอีกครา แน่นอนว่านางจะต้องหลีกเลี่ยงเพื่อมิให้ซ้ำรอยเดิม
สวี่หวยซู่เอ่ยว่านางมิชื่นชอบจักรพรรดิเหวิน อีกทั้งยังพยายามหลบหลีก… อาจจะเป็นเพราะชาติที่แล้วนางได้อภิเษกสมรสกับจักรพรรดิเหวินแล้วทำให้ชีวิตของนางถึงจุดจบ ชาตินี้จึงพยายามหลีกเลี่ยงเยี่ยงนั้นหรือ ?
ร่างกายของข้าในชาติก่อนก็คือบุตรชายของนาง แต่สวี่หยุนชิงกลับรู้เรื่องราวของข้าทั้งหมด ย่อมหมายความว่าข้าก็เคยเดินทางมาโลกนี้ก่อนแล้วเช่นกัน แต่เหตุใดในโลกนี้ถึงมิมีร่องรอยของข้าหลงเหลืออยู่เลยเล่า มีเพียงสวี่หยุนชิงเท่านั้นที่รู้ถึงตัวตนของข้า !
หรือว่า…สวี่หยุนชิงจะเคยผ่านมิติคู่ขนานมาก่อน ?
เช่นนั้นบทกวีอำลาเคมบริดจ์ที่นางเห็นก็มิได้มาจากหินหน้าหลุมศพ เนื่องจากยังอธิบายปัญหาหนึ่งมิได้ว่า…
จี้หยุนกุยขมวดคิ้วเข้าหากัน “เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? ”
“ข้ากล่าวว่าราวหนึ่งหรือสองปีก่อนหน้านี้ มีคนมาขุดหลุมศพนี้ก่อนแล้ว”
“ราวหนึ่งหรือสองปีก่อนหน้านี้… เหตุการณ์หิมะถล่มคราใหญ่เกิดขึ้นในวันที่เก้าเดือนสี่ของปีที่แล้ว ห่างจากวันนี้เป็นเวลา 1 ปีกับอีก 9 เดือน…เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าหลุมศพนี้เคยถูกขุดขึ้นมาเมื่อราวหนึ่งหรือสองปีก่อนหน้านี้ ? ”
ซูหยางหยางเหล่มองจี้หยุนกุยด้วยท่าทางมิพอใจ “แม้แต่ท่านอาจารย์ยังมิเคยสงสัยในความสามารถของข้า ! ”
“พวกเราไปกันเถิด”
“ไปที่ใดกัน ? ”
“ไปยังราชวงศ์อู๋”
ซูหยางหยางชะงักงัน “จะไปขุดหลุมศพอีกแล้วหรือ ? งานที่มิต้องใช้ทักษะเช่นนี้ มิจำเป็นต้องชักชวนข้า”
“มิใช่สุสานธรรมดาแต่เป็น… สุสานจักรพรรดิ ! ”
“…เช่นนั้นคงต้องเพิ่มเงินอีกสักหน่อย”
“เจ้าลองเอ่ยราคามาสิ”
“10,000 ตำลึง ! ”
“ตกลง ออกเดินทางได้ ! ”
……
……
ทั้งสามคนออกเดินทางจากไป แต่ตะเกียงเจ้าพายุนั้นยังคงถูกวางไว้ที่เดิม
เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ฉ้ายซีอดีตหลงจู๊ใหญ่แห่งหยูฝูจี้กระโดดลงมาจากยอดเขา สายตาทอดมองไปยังหลุมศพที่ถูกขุดออกอีกคราจากนั้นก็ส่ายศีรษะไปมา จากนั้นจึงยื่นมืออันเหี่ยวย่นออกไปแล้วค่อย ๆ กลบดินที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบ…
“โธ่… คุณหนู ท่านกล่าวว่าคุณชายจะมาขุดหลุมศพ คุณชายเดินทางมาก็จริงแต่มิได้เปิดมันออก ตรงกันข้ามกลับมีผู้อื่นมาเปิดหลุมศพนี้แทน และพวกเขาก็เริ่มสงสัยในตัวคุณหนูแล้ว ท่านต้องซ่อนตัวให้ดีล่ะ มิเช่นนั้นคงถูกพวกเขาตามหาจนพบเป็นแน่ ! ”
ไฟจากตะเกียงเจ้าพายุส่องกระทบไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของฉ้ายซี หากในตอนนี้มีผู้ใดมาพบเห็นตัวเขาก็เกรงว่าจะตื่นตกใจเสียจนเป็นลมล้มพับ
เขาได้ทำการกลบหลุมศพนี้อีกคราอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นจึงหยิบสุราซีซานเทียนฉุนที่เหน็บไว้ตรงเอวขึ้นมาแล้วนั่งดื่มที่หน้าหลุมศพอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)