ตอนที่ 769 กองทัพสวรรค์ฆาต
เยี่ยนเป่ยซีเดินทางออกจากห้องทรงพระอักษรไปแล้ว
บนใบหน้าของชายชราปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ประดับไว้อยู่
แสงแดดที่ตกกระทบร่างส่งผลให้เขารู้สึกว่ายามนี้มันช่างอบอุ่นและรู้สึกสบายตัวมากยิ่งนัก
ฮ่องเต้มิได้แสดงความคิดเห็นที่ชัดเจน ทว่าก็ได้แสดงท่าทีออกมาแล้ว
เยี่ยงนี้ก็ดีเหลือเกิน
ข้าคงต้องถอยแล้ว เพราะหากยังมิถอย…ก็เกรงว่าจะมิทันการ !
สถานการณ์ในตอนนี้ เยี่ยนเป่ยซีมองได้ทะลุปรุโปร่งกว่าผู้ใด
การจากไปของฟู่เสี่ยวกวนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ อีกทั้งฮ่องเต้ยังมีทัศนคติที่มิดีต่อการจากไปของฟู่เสี่ยวกวน
เห็นได้ชัดจากการปล่อยตัวฉินฮุ่ยจือ !
นอกจากนี้ฝ่าบาทยังปฏิเสธการเสนอชื่อ… ชื่อหลางฝ่ายขวากรมคลังของต่งคังผิงไปแล้ว จากนั้นก็ได้โยกย้ายฉางฮวนเสนาบดีกรมจือเจ้าแห่งหางโจวกลับเข้าวังหลวง
เมื่อครึ่งปีหลังของปีที่แล้วดูเหมือนว่าภายในราชสำนักจะมีอยู่หลายตำแหน่งที่ถูกโยกย้ายและถูกปลดลง มิได้ดูผิดปกติหรือผิดสังเกตแต่อย่างใด แต่จะรอดพ้นดวงตาอันเปี่ยมประสบการณ์ของเยี่ยนเป่ยซีไปได้เยี่ยงไร
เมื่อคนเก่าหลุดออกไปแล้วก็ต้องวางตัวผู้รับช่วงต่อ
อย่างเช่นกรมการค้าที่ตอนนี้ที่มีรองหัวหน้ามาเพิ่มอีก 1 คน ซึ่งก็คือหยวนซีชิงอดีตเสมียนของสำนักตรวจสอบพระราชโองการ
ส่วนกรมกลาโหมก็มีชื่อหลางคนใหม่เข้ามาแทนที่เช่นกัน ชื่อหลางที่มาใหม่ผู้นี้เคยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเผิงเฉิงอู่ในกองทัพชายแดนเหนือ โดยรับตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการ
เหมือนจะธรรมดา แต่ก็มิธรรมดา
เยี่ยนเป่ยซีเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องมีหนทางหนีที่ปลอดภัยให้แก่ตระกูลเยี่ยนและตระกูลต่งอย่างแน่นอน ทว่าเขาก็อยู่บนเส้นทางนี้มาตั้งแต่อายุ 18 ปี จึงมิสามารถปล่อยให้ชะตากรรมของผู้คนหลายร้อยคนในตระกูลเยี่ยนต้องมาตกอยู่ในมือของฟู่เสี่ยวกวน
ดังนั้นเขาจึงต้องปลีกตัวออกมา และยืนอยู่ด้านนอกกระดานหมากนี้ ต้องอยู่ในสถานที่ที่มิมีผู้ใดสนใจเพื่อหาทางออกให้แก่ตระกูลเยี่ยน
ทว่าเส้นทางล่าถอยนี้มิใช่การยอมจำนนต่อราชวงศ์หยู และมิสามารถพึ่งพาราชวงศ์อู๋ได้ทั้งหมด แต่เป็น…แคว้นฝาน !
แน่นอนว่ามิมีผู้ใดทราบว่าในขณะที่เซวี๋ยติ้งชานกำลังก่อกบฏ ผู้ที่ปล่อยให้ตระกูลเซวี๋ยและตระกูลสีหนีไปได้ก็คือเยี่ยนเป่ยซี !
……
……
หยูเวิ่นเต้าต้มชาขึ้นมา 1 กา
เขารินชาถวายฮ่องเต้หนึ่งถ้วย จากนั้นก็ทูลว่า “ยามที่ลูกอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลินก็ได้ไปเยือนสำนักศึกษาซีซานอยู่หลายคราและได้เล่นหมากรุกกับอาจารย์ฉินปิ่งจงอยู่บ่อยคราด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังได้สนทนากันมากมาย หนึ่งในนั้นก็ได้เอ่ยถึงฉินฮุ่ยจือผู้นี้ด้วย…”
ฮ่องเต้ยกชาขึ้นมาจิบเบา ๆ อืม…ใช้เวลาต้มนานไปหน่อยจึงมีรสค่อนข้างขม “ฉินปิ่งจงประเมินฉินฮุ่ยจือไว้เยี่ยงไรบ้าง ? ”
หยูเวิ่นเต้าส่ายศีรษะ “อาจารย์ฉินเอ่ยว่า… ตนอยู่เบื้องหลังขอมิเอ่ยว่าถูกหรือผิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้วางถ้วยชาลงจากนั้นก็แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย “ความหมายของเขาก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเขามิได้สนใจหลานชายผู้นั้นของตน”
“ดังนั้นลูกจึงคิดว่าในเวลานี้ราชวงศ์หยูก็สงบสุขดี ยังมีว่อเฟิงเต้าที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างไว้เป็นแบบอย่างเพื่อให้อีก 13 มณฑลที่เหลือได้เรียนรู้ตามไปก็พอ… ต่อจากนี้ราชวงศ์หยูควรให้ความสำคัญต่อการบริหาร ความมั่นคงและการป้องกันพ่ะย่ะค่ะ
แม้ว่าอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนจะเสนอชื่อของฉินฮุ่ยจือ แต่ลูกก็ยังคิดว่าเยี่ยนซือเต้าเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าฉินฮุ่ยจือพ่ะย่ะค่ะ”
หยูเวิ่นเต้ามิได้ทูลว่าความภักดีที่ตระกูลเยี่ยนมีต่อราชวงศ์หยูก็เป็นที่ประจักษ์กันดี เนื่องจากคำกล่าวขานที่ว่าหนึ่งตระกูลสามชั่วโคตรเดิมทีก็เป็นเสด็จแม่ที่ตรัสขึ้นมาเองเช่นกัน
แน่นอนว่า เขายังมิทราบว่าที่ฮองเฮาซั่งเผยแพร่เรื่องหนึ่งตระกูลสามชั่วโคตรให้ทราบโดยทั่วกันก็เพื่อปรามตระกูลเยี่ยน
ฮ่องเต้หลุดพระสรวลออกมาเล็กน้อย ทรงทอดพระเนตรใบหน้าของหยูเวิ่นเต้า บุตรชายที่เรียนวรรณกรรมมิดีแต่เรียนวรยุทธ์เก่งผู้นี้ได้รับการฝึกฝนร่วมกับทหารดาบเทวะมา 1 ปี คาดว่าคงจะฝึกจนได้แววตาที่มองทะลุออกมาหนึ่งคู่
ฝ่าบาทย่อมทราบว่าเยี่ยนซือเต้านั้นเหมาะสมยิ่งกว่าฉินฮุ่ยจือ ทว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้จึงมิสามารถเลือกเยี่ยนซือเต้าให้เป็นอัครมหาเสนาบดีได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)