นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 817

ตอนที่ 817 ให้ท่านเป็นจักรพรรดิ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด วันที่สิบห้า เดือนห้า ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางกลับถึงเมืองยวี่ซิ่ว

เมืองยวี่ซิ่วในตอนนี้อยู่ในความดูแลของผู้ว่าการท่าป๋าคัง ภายใต้การปราบปรามของทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่ง จึงมิมีเหตุการณ์วุ่นวายใดเกิดขึ้นอีก

เมืองที่เคยเกิดความชุลมุนวุ่นวายแห่งนี้จึงหวนคืนสู่ความสงบอีกครา ทว่าผู้คนในเมืองยังคงดำเนินชีวิตด้วยความกังวลอยู่

โครงสร้างของจวนผู้ว่าการก็ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้ว และหน่วยงานต่าง ๆ ก็ได้เริ่มดำเนินงานตามปกติแล้ว

อย่างเช่นกรมคลังที่อยู่ในระหว่างดำเนินการจดทะเบียนครัวเรือน

หรือกรมราชทัณฑ์ที่กำลังสะสางคดีเก่าอยู่

ส่วนกรมกลาโหมกำลังรับสมัครทหารรักษาการณ์เขตปกครองตนเอง… นี่คือคำสั่งพิเศษของฟู่เสี่ยวกวนถึงท่าป๋าคังก่อนออกเดินทางไปครานั้นว่าให้ดำเนินการรับสมัครชาวฮวง 10,000 นาย และให้อยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้ากรมกลาโหม

สำหรับหน้าที่รับผิดชอบคือไปประจำอยู่ ณ เมืองหลวงของหกรัฐอาณาเขตธง โดยหนึ่งรัฐมี 1,000 นายเพื่อต่อสู้กับโจรและผู้ใช้อำนาจกดขี่ ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของราษฏรในแต่ละรัฐ

ส่วนที่เหลืออีก 4,000 นายให้อยู่ดูแลความเรียบร้อยที่เมืองยวี่ซิ่ว คอยรับคำสั่งจากหัวหน้ากรมกลาโหมโดยตรง

ในด้านของหกหน่วยงานที่สอดคล้องกับทางราชวงศ์อู๋ นับจากนี้จะมีรัฐบาลกลางของเขตปกครองตนเองเป็นผู้ควบคุมและถ่ายทอดคำสั่ง รวมไปถึงการร่างนโยบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ทั้งหมดที่กล่าวมากำลังดำเนินงานอย่างเป็นระบบระเบียบ ส่วนชาวฮวงที่ได้รับผลกระทบในเมืองยวี่ซิ่วก็รู้สึกว่ามิได้แตกต่างจากแต่ก่อนสักเท่าใดนัก

เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเมือง พระราชวังกลายเป็นจวนผู้ว่าการ ส่วนประกาศห้ามผู้คนออกนอกเคหะสถานในยามวิกาลนั้นยังมิได้ยกเลิก

แม้จะสูญสิ้นราชวงศ์ไปแล้ว ทว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็มิได้รับผลกระทบอันใดมากนัก

เรื่องทั้งหมดนี้ ท่าป๋าเฟิงรู้สึกชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนด้วยใจจริง

เขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ แต่กลับสามารถยกระดับทั้งแคว้นฮวงได้อย่างง่ายดาย !

แม้จะมีเหตุจลาจลเกิดขึ้นหลายคราในตอนแรก และมีกลุ่มกบฏลุกฮือขึ้นมา ทว่าหลังจากการปราบปรามโดยไร้ปรานีของทหารดาบเทวะ สุดท้ายผืนปฐพีรกร้างกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ถูกควบคุมโดยฟู่เสี่ยวกวนอย่างสมบูรณ์แบบ

เล่าลือกันว่าเขาจะกำจัดความอดอยากออกไปจากผืนปฐพีนี้ แต่ในระยะยาวอีกหลายร้อยปีต่อมาภายใต้การรุกล้ำทางวัฒนธรรมของราชวงศ์อู๋ คงจะมิมีชาวฮวงดั้งเดิมหลงเหลืออยู่บนผืนปฐพีนี้อีกต่อไป

เจ้าหมอนี่ได้มองการณ์ไกลเอาไว้แล้ว !

เห็นได้ชัดว่าการสูญสิ้นวัฒนธรรมป่าเถื่อนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและไร้ประโยชน์หากท่าป๋าเฟิงคิดจะขัดขวาง…

……

ในที่สุดเยียนหานยวี่ก็ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนเสียที

ภายในอดีตวังหลังของราชวงศ์ก่อน ฟู่เสี่ยวกวนนั่งชงชาพลางจ้องมองไปยังเยี่ยนหานยวี่ที่ออกอาการประหม่าเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “พี่เยียน นับตั้งแต่ได้พบกันที่เมืองกวนหยุนก็ผ่านไปสองปีแล้ว…เชิญนั่งลงเถิด ถึงเยี่ยงไรพวกเราก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ท่านอย่าได้คิดมากเลย”

เยียนหานยวี่จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน กริยาท่าทางช่างนอบน้อมมากยิ่งนัก

เนื่องจากบุรุษผู้นี้ มิได้มีฐานะเหมือนตอนที่อยู่ในเมืองกวนหยุนเมื่อสองปีก่อนอีกต่อไปแล้ว !

แม้ว่าจะดูใจดีมากกว่าตอนที่อยู่ในเมืองกวนหยุน ทว่าร่างกายของอีกฝ่ายก็ได้ปรากฏพลังความน่าเกรงขามที่มิอาจต้านทานได้แผ่ออกมา

นับเป็นพลังที่รุนแรงกว่ายามที่ตนได้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสอันน่าเกรงขามมากถึงสิบเท่า !

สำหรับฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ เยียนหานยวี่บังเกิดความกลัวอย่างสุดซึ้ง สงครามในครานี้ได้ทำให้ตนเข้าใจในช่องว่างระหว่างผืนปฐพีและท้องนภาได้อย่างแจ่มชัด

“ข้าควรเรียกท่านว่าติ้งอันป๋อหรือองค์จักรพรรดิดีเล่า ? ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)