ตอนที่ 827 เรือนสักหลาด
ณ รัฐลู่ฉีแห่งเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน
สถานที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งรัฐที่ตั้งอยู่ไกลจนสุดลูกหูลูกตา
มันตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดของเขตปกครองตนเอง และมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับภูเขาหิมะเว่ยเอ๋อ
ที่แห่งนี้มิอุดมสมบูรณ์เอาเสียเลย แม้จะมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ทว่ากลับมีประชากรอาศัยอยู่เพียงแค่ 1,000,000 คนเท่านั้น และมีถึง 700,000 คนเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามทุ่งหญ้า
ด้วยเหตุนี้รัฐลู่ฉีจึงมิได้รับผลกระทบจากการรุกรานของกองทัพดาบเทวะ หากทอดสายตามองก็จะเห็นกลุ่มวัวและม้าอยู่ตามทุ่งหญ้า
มีชายหนุ่มควบม้าต้อนฝูงแกะ มองเห็นสตรีนั่งซักผ้าพลางขับร้องทำนองเพลงไปด้วย
ช่างเป็นบรรยากาศที่สงบสุขและไร้ซึ่งความกังวลอย่างแท้จริง ราวกับว่าเรื่องเปลี่ยนผ่านจักรพรรดิมิได้อยู่ในการรับรู้ของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขามิรู้ด้วยซ้ำว่าแคว้นที่เคยอาศัยอยู่ได้จากไปมิหวนกลับคืน
ชนเผ่าเร่ร่อนส่วนมากจะรวมกลุ่มกันตั้งที่อยู่อาศัย เมื่อถึงเวลาย้ายถิ่นฐานก็จะย้ายไปทั้งโขยงเพราะหวาดกลัวว่าจะมีโจรมาขโมยสัตว์เลี้ยงไป เมื่อมีจำนวนคนมากย่อมมีกำลังในการต่อต้านโจรผู้ร้ายมากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อนานวันก็ได้ก่อตัวเป็นชนเผ่าและได้ลงหลักปักฐานเป็นหมู่บ้าน หลังจากเร่ร่อนไปที่ต่าง ๆ ตลอดทั้งปี หมู่บ้านแห่งนี้คือสถานที่ที่พวกเขากลับมาพักผ่อนจากความเหนื่อยล้านั่นเอง
ทว่าระยะหลังมานี้ บังเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นกับชนเผ่าเร่ร่อนของรัฐลู่ฉี มีข่าวแว่วมาว่ามีกองโจรมาจากเขตใต้จำนวน 60 คน แต่ละคนมีความสามารถในการรบอีกทั้งยังป่าเถื่อนและดุร้ายมากอีกด้วย
เล่าลือกันว่ากลุ่มโจรเหล่านี้คืออดีตนักรบแห่งกองทัพดาบสวรรค์ !
พวกเขาถูกกองทัพทหารชายแดนเหนือของราชวงศ์หยูปราบจนราบคาบที่นอกเมืองกูหยุน อันคำว่า ‘ปราบจนราบคาบ’ ดูเหมือนจะเอ่ยเกินจริงไปมาก เพราะเป็นศึกใหญ่ที่มีทหารถึง 400,000 นาย เยี่ยงไรก็ต้องมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง
มีชนเผ่าเร่ร่อนเผ่าหนึ่งถูกพวกเขาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งหมด แน่นอนว่าเป็นการสังหารเพื่อปล้นเสบียงอาหารในครอบครอง
“เจ้าพวกขี้ขลาด มิกล้าประจันหน้ากับกองทัพดาบเทวะก็มิเป็นไร แต่พวกเจ้ากลับมารบราฆ่าฟันเผ่าพันธุ์เดียวกัน ! ให้ตายเถิด หากกองทัพดาบเทวะมาก็คงจะดี จะได้สังหารพวกสวะนี้ให้สิ้นซาก มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้ ! ”
เรือนสักหลาดหลังหนึ่งมีหัวหน้าเผ่าตระกูลหวานเหยียนนามว่าหวานเหยียนหงเลี่ย ซึ่งกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ตระกูลหวานเหยียนเป็นตระกูลเชื้อสายมารดา และหัวหน้าเผ่านางนี้ก็เป็นสตรีชราอายุ 60 ปี
บัดนี้นางกำลังชงชานมพลางเงยหน้ามองหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้กลัวไปเลย ชนเผ่าของพวกเรามีบุรุษร่างกำยำตั้งเกือบ 100 คน หากพวกโจรมาถึงจริง ๆ พวกเราย่อมสามารถสังหารพวกมันให้ตายเรียบได้อย่างแน่นอน”
หญิงวัยกลางคนแย้มยิ้ม “ขอบคุณท่านหัวหน้าเผ่าที่ให้การดูแลข้าเป็นอย่างดี”
“มิต้องเกรงใจไปหรอก ชาวตระกูลหวานเหยียนต้อนรับแขกด้วยมิตรไมตรีเสมอมา…”
เมื่อนางชงชานมเสร็จแล้ว ก็ได้บรรจงรินใส่ถ้วยเพื่อส่งให้แขก “ลองชิมดูเถิด ราชวงศ์หยูของท่านคงมิมีสิ่งนี้ ข้ามิรู้ว่าจะดื่มได้หรือไม่…คุณชายและคุณหนูไปที่ใดแล้วเล่า ? ”
“มิต้องสนใจพวกเขาหรอก บัดนี้คงติดตามหวานเหยียนจงไปต้อนสัตว์แล้ว”
“เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวย เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามจึงหนีมาหลบภัยถึงที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สตรีวัยกลางคนทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าขึ้นลง “ช่างเถิด…ท่านหัวหน้าเผ่า ข้ามีนามว่าเผิงยวี๋เยี่ยน ต่อจากนี้ไป…ข้าขออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้หรือไม่ ? ”
นางคือเผิงยวี๋เยี่ยนภรรยาของแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์หยู !
นางพาบุตรทั้งสามคนมายังผืนปฐพีรกร้างโดยมิได้ไปหาฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับเลือกมายังพื้นที่ห่างไกลเยี่ยงนี้ และปรารถนาที่จะเป็นหนึ่งในสมาชิกของชนเผ่าพื้นเมือง !
“ย่อมได้ ! ทว่าเมื่อมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ต้องทำงาน ผู้ชายให้ไปต้อนสัตว์ ส่วนผู้หญิงก็ช่วยในเรื่องที่พอช่วยได้ เช่น การรีดนม หมักสุราหรือทำแซมปา1”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)