นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 844

ตอนที่ 844 ราตรีที่มิอาจหลับใหล ( จบ )

โคมไฟสีแดงบนเรือสำราญในทะเลสาบสือหลี่ยังคงส่องสว่าง

บนชั้นสามของเรือสำราญลำนั้น ได้ปรากฏผู้คนนั่งล้อมวงกันอยู่ 9 คน

พวกเขาคือหวางซุนอู๋หยาและพรรคพวกรวมทั้งหมด 6 คน มีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีก 3 คนคือซือหม่าเทา หยุนซีเหยียน และจัวตงหลาย

พวกเขาทั้งหมดรู้จักกันที่ว่อเฟิงเต้า ซือหม่าเทาเฝ้ารออยู่ที่หน้าพระราชวังตลอดทั้งวัน จนช่วงค่ำถึงได้พบกับหยุนซีเหยียนที่เพิ่งเลิกการประชุมราชสำนัก หยุนซีเหยียนลากจัวตงหลายติดสอยห้อยตามมาด้วย เดิมทีทั้งสามคนเพียงแค่อยากดื่มสุราด้วยกันเท่านั้น มิได้คาดคิดเลยว่าจะบังเอิญพบหวางซุนอู๋หยาและคนอื่น ๆ

เยาวชนทั้งเก้าขึ้นมาบนเรือสำราญที่มีชื่อว่าตงเทียน พวกเขามิได้คิดจะฟังบทเพลงแต่อย่างใด ทำเพียงแค่สั่งอาหารและสุรามาเต็มโต๊ะ จากนั้นก็ขับไล่นักร้องหญิงของเรือสำราญลำนี้ลงไปยังชั้นสอง

ถึงเยี่ยงไรนโยบายที่ประกาศในการประชุมราชสำนักก็จะต้องถูกประกาศให้ทราบทั่วทั้งแคว้นอยู่แล้ว หยุนซีเหยียนและจัวตงหลายจึงนำมาบอกเล่ากับสหายชนิดที่ไร้การหมกเม็ด และเมื่อเล่าถึงนโยบายที่ฝ่าบาทแถลงจนจบสิ้น เรือสำราญทั้งลำก็พลันบังเกิดความเงียบขึ้นมา

พวกของหวังฉาวเฟิงคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเคลื่อนไหวรวดเร็วและรุนแรงถึงเพียงนี้

“นี่มันรุนแรงยิ่งกว่าพายุหิมะด้านนอกเสียอีก ! ” หยูซิ๋งเจี่ยนเอ่ยพลางถอนหายใจยาว “แต่ข้าชอบ ! ฝ่าบาทช่วยปลดเปลื้องเชือกที่พันธนาการราษฎรออก ทั้งยังสนับสนุนให้ทุกคนเข้าสู่สนามการค้าอย่างเสรี ครานี้ทุกคนจะได้ใช้ดาบและปืนที่มีเข้าสู้รบในสนามการค้าแห่งนี้ ! ”

“มิกะทันหันไปสักหน่อยหรือ ? เกลือและเหล็กเป็นสินค้าสำคัญของแคว้นเชียวนะ หากพระองค์ปล่อยให้มีการค้าเสรี จะมีผลข้างเคียงตามมาหรือไม่ ? ” จังชีเยวี่ยเอ่ยถาม

มิมีผู้ใดตอบคำถามนี้ได้ เพราะแม้แต่หยุนซีเหยียนกับจัวตงหลายก็ยังมิรู้ว่าควรจะตอบเยี่ยงไรดี

พวกเขารู้เพียงแค่ว่านี่เป็นการปฏิรูปที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไรก็มิอาจคาดเดาได้เช่นกัน

“ฝ่าบาททรงตรัสว่านี่เป็นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อันคำว่าเศรษฐกิจแบบทุนนิยมคือการที่กิจกรรมซื้อขายทั้งหมดเข้าสู่กลไกของตลาด จากนั้นจะทำให้เกิดตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นมา ส่วนสินค้าที่ด้อยกว่าก็จะถูกคัดออกจากตลาด สินค้าที่สามารถครองตลาดได้ ย่อมเป็นสินค้าชั้นยอดจากผู้ประกอบการชั้นเยี่ยมเท่านั้น”

หยุนซีเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เอ่ยโดยสรุปคือยุคทองของผู้ค้าขายมาถึงแล้ว วันนี้ฝ่าบาททรงเน้นย้ำถึงสามคราว่าต่อให้เป็นขุนนางระดับใดก็จำต้องรับใช้ราษฎร ส่วนที่ทำการของกรมการค้าจะก่อตั้งขึ้นที่ถนนห้วนฮวาเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเหล่าผู้ค้าขายให้มากที่สุด”

“ส่วนความคิดเห็นของข้าต่อเรื่องนี้คือตระกูลของพวกเจ้าควรรีบจดทะเบียนเป็นบริษัทกับกรมการค้าโดยเร็วที่สุด ขณะดำเนินกิจการของตนอยู่นั้น ถ้ามีเงินเก็บก็สามารถนำมาร่วมลงทุนกับถนนหนทาง การขนส่งทางเรือ เกลือและเหล็ก แม้กระทั่งข้าวและเสบียงอาหารอื่น ๆ เพราะช่วงเวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”

“หากข้าคาดการณ์มิผิด หลังจากทางราชสำนักประกาศนโยบายใหม่ออกไปอย่างเป็นทางการ กรมการค้าจะยุ่งจนมือเป็นระวิง ภายใต้ผลของการผลักดันนโยบายใหม่ก็คาดว่าในอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า บริษัทน้อยใหญ่ในราชวงศ์อู๋จะผุดขึ้นมานับมิถ้วนราวกับดอกเห็ดเลยล่ะ”

“เพราะฝ่าบาททรงสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกทั้งงานฝีมือและอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจัง วัตถุประสงค์ก็คาดว่าเพราะต้องการให้พวกเขาได้มีที่ยืนในสงครามการตลาดอันโหดร้ายนี้ และเพื่อป้องกันการผูกขาดจากกลุ่มนายทุนรายใหญ่”

หยุนซีเหยียนร่ายยาวถึงการประชุมราชสำนักตามความเข้าใจชนิดหมดหน้าตัก นี่มิใช่การเอ่ยจ้อเรื่อยเปื่อย ทว่าเป็นเพราะเขาค่อนข้างเข้าใจฟู่เสี่ยวกวนเสียมากกว่า

วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนประชุมราชสำนักทั้งวัน แต่แนวคิดหลักมีเพียงสิ่งเดียวคือการดำเนินระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและให้มีการผลิตอย่างเสรี !

ส่วนเรื่องที่ว่าเหล่าคนหนุ่มสาวจะเข้าใจมากน้อยเพียงใด เขามิได้เก็บมาใส่ใจ

ทุกวันนี้หมดยุคสมัยพึ่งพาบารมีของห้าตระกูลผู้นำการค้าในการตั้งหลักเหมือนที่ราชวงศ์หยูอีกต่อไป เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเหล่าผู้ค้าขายที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจะไขว่คว้าโอกาสนี้ไปได้ ซึ่งคนเหล่านี้จะกลายเป็นแหล่งภาษีที่ทำให้คลังหลวงแน่นขนัดขึ้นมาอีกครา

ส่วนผู้ที่ยึดถือในแนวคิดโบราณคร่ำครึ ในท้ายที่สุดก็จะถูกคลื่นลูกใหม่ซัดออกมาจากสนามแข่งขัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)