ตอนที่ 854 พระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ ( 1 )
การประชุมราชสำนักยามเช้าวันต่อมา
เนื่องจากเป็นการประชุมเล็กจึงมีขุนนางเพียงแค่มิกี่คนเท่านั้นที่เข้าร่วม ฟู่เสี่ยวกวนจึงจัดการประชุมในท้องพระโรงอี้เจิ้งแทน
ขณะนี้เขายังเดินทางไปมิถึง ทว่าก็มีขุนนางหลายสิบคนเดินทางมารอแล้ว
“…พวกท่านมิรู้หรอกว่ารสชาติของเนื้อหมูนั้นยอดเยี่ยมมากเพียงใด ! หึหึหึ…” หนานกงอี้หยู่หัวเราะออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบเครายาว เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากเมื่อหวนนึกถึงรสชาตินั้นอีกครา
“เนื้อหมูแตกต่างจากเนื้อแกะอย่างสิ้นเชิง มันมิเหม็นสาบเท่าและสามารถปรุงอาหารได้ง่ายกว่า วิธีการปรุงก็มีหลากหลาย โดยรวมแล้วนับจากนี้เซียงจูอวี๋ห้าว อ่า…นี่คือชื่อที่ฝ่าบาททรงประทานให้หมู เกรงว่าเมื่อเซียงจูอวี๋ห้าวออกขายสู่ท้องตลาด พวกท่านจะติดใจเสียจนขาดมิได้”
เมื่อเสนาบดีทั้งหกกรมได้ยินดังนั้นต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย บรรดาขุนนางชั้นผู้น้อยคนอื่น ๆ ได้แต่พากันตกตะลึง พวกเขารู้ดีว่าเมื่อคืนนี้ฝ่าบาททรงเชิญขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายร่วมโต๊ะเสวย แต่คาดมิถึงว่าเหล่าขุนนางที่ปกติรับประทานแต่อาหารชั้นเลิศเช่นโสมจากภูเขาหรือปลิงจากทะเลจะเอ่ยชมเนื้อหมูมิหยุดเช่นนี้ !
เหวินชังไห่ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษาฮ่านหลินเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด เขายกมือขึ้นคารวะหนานกงอี้หยู่แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านที่ปรึกษา เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
“ข้าอยู่มานานเกินครึ่งชีวิตแล้ว ข้าเคยโกหกพวกเจ้าหรือเยี่ยงไรกัน ? ” เมื่อเอ่ยจบเขาก็กระซิบข้างหูเหวินชังไห่ว่า “บิดาของเจ้า เหวินสิงโจวและฝ่าบาทมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ข้าจะบอกเจ้าว่าในวันนี้กรมโยธาธิการเหลือหมูเพียงแค่ 18 ตัวเท่านั้น ! ”
เหวินชังไห่สะดุ้งโหยง เขาเข้าใจความหมายได้ในทันที จากนั้นก็หัวเราะแห้ง ๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านที่ปรึกษามากยิ่งนักขอรับ ! ”
เหลือหมูเพียงแค่ 18 ตัวเท่านั้น หากช้าไปกว่านี้ก็เกรงว่าจะมิได้ลิ้มลองเสียแล้ว !
หากรอให้เซียงจูอวี๋ห้าวโตขึ้นอีกคอก คงต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีเลยทีเดียว
เหวินชังไห่ตัดสินใจว่าหลังจบการประชุมแล้ว เขาจะลองเอ่ยกับบิดา หากมองจากภายนอกจะเห็นตระกูลเหวินเจิดจรัส ทว่ามีเพียงคนในเท่านั้นที่รับรู้ !
เอ่ยง่าย ๆ ก็คือตระกูลเหวิน…ยากจน !
พวกเขาล้วนสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมอันดีงามมาจากบรรพบุรุษ ส่วนตัวเหวินชังไห่แม้เป็นนักปราชญ์ แต่คำว่านักปราชญ์ก็เป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งทางราชสำนักมิได้ให้เบี้ยหวัดแม้แต่อีแปะเดียว
และสี่พี่น้องตระกูลเหวินยังเบียดเสียดกันอยู่ในจวนเดียวกันอีกด้วย
น้องรองเหวินซิ่วจงเคยปฏิบัติงานในสำนักอัครมหาเสนาบดี บัดนี้ถูกไปอยู่ในสำนักตรวจสอบพระราชโองการ ฟังเหมือนเป็นฝ่ายที่น่ายกย่องเชิดชู ทว่าน้องรองเป็นเพียงขุนนางระดับลิ่วพิ่นของเมืองหรือเรียกว่าเป็นผู้ถือกุญแจประตูเมืองนั่นเอง
น้องสามเหวินซิงจ้าวเดิมทีอยู่ในซือหลี่เจี้ยน แต่บัดนี้ฝ่าบาทได้เปลี่ยนคนภายในซือหลี่เจี้ยนให้เป็นขันทีทั้งหมด ดังนั้นน้องสามจึงถูกโยกย้ายไปยังสำนักเสมียนกลางเพื่อรับตำแหน่งจู่ซู
เมื่อไร้อำนาจ แน่นอนว่าย่อมไร้ความก้าวหน้า ชีวิตจึงดำเนินไปได้อย่างยากลำบาก
อย่าว่าแต่เนื้อแกะเลย ต่อให้เป็นเนื้อหมูที่น่าสะอิดสะเอียน ในแต่ละเดือนก็จะได้ทานเพียงสองสามคราเท่านั้น
จะว่าไปแล้ว สำนักศึกษาฮ่านหลินเป็นผู้ดูแลเรื่องการสอบเคอจี่แห่งราชวงศ์อู๋ การสอบเคอจี่ได้รับอิทธิพลมาจากราชวงศ์หยู ทั้งยังเป็นนโยบายที่ในตอนนั้นบิดาผลักดันอย่างสุดความสามารถจึงจะสัมฤทธิ์ผล
ทว่าการคัดเลือกผู้มีความสามารถในราชวงศ์อู๋โดยมาก มักได้รับการส่งเสริมจากตระกูลผู้มีอำนาจ ส่วนผู้ที่ถูกคัดเลือกจากการสอบผ่านจริง ๆ ก็เห็นว่ามาจากสำนักศึกษาหลีชานแทบทั้งสิ้น นอกนั้นก็มีน้อยเสียจนนับนิ้วได้
มิใช่ว่าไร้ผู้มีความสามารถ เพียงแค่พวกคนมีความสามารถก็มักจะกำเนิดในตระกูลผู้มีอำนาจทั้งสิ้น
เนื่องจากการเข้าศึกษาต้องมีค่าใช้จ่าย หากฐานะทางครอบครัวมิดีพอ จะสามารถศึกษาในระดับสูงได้สักเท่าใดกัน ? จะได้รับการผลักดันจากตระกูลเยี่ยงนั้นหรือ ?
หากครอบครัวยากจน บุตรหลานก็มิอาจได้ดี ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงในราชวงศ์อู๋ !
ดังนั้น ในแต่ละปีที่สำนักศึกษาฮ่านหลินจัดสอบเคอจี่ เป็นการจัดพอเป็นพิธีเท่านั้น
ส่วนเรื่องการทุจริต เหวินชังไห่ได้เขียนฎีกาส่งไปยังจักรพรรดิหลายต่อหลายคราแต่ก็มิได้คำตอบกลับมา
เมื่อนานวันเข้า เขาเองก็มิอยากเอ่ยถึงมันอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)