อ่านสรุป ตอนที่ 882 อันธพาลจากหมู่บ้านยากไร้ จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 882 อันธพาลจากหมู่บ้านยากไร้ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 882 อันธพาลจากหมู่บ้านยากไร้
เดือนห้า ณ เมืองกวนหยุน เริ่มเข้าสู่ต้นฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ภรรยาทั้งหลายของเขายังมิได้เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงสำหรับฤดูร้อน ทว่าที่เซี่ยซานโจวทางเหนือกลับมีอุณหภูมิร้อนระอุแล้ว
เซี่ยซานโจวคือชื่อเรียกโดยรวมของสามรัฐทางตอนใต้ของเป่ยเซียวอันประกอบไปด้วย หยู่โจว เยว่โจวและเฟิงโจว
บัดนี้หกรัฐแห่งเป่ยเซียวอันกว้างใหญ่มีประชากรมากกว่าเจ็ดล้านคน และส่วนมากจะกระจัดกระจายกันอาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ของเซี่ยซานโจวแห่งนี้
เกษตรกรที่อพยพมาจากแปดรัฐแห่งหนานชางรวมตัวกันอาศัยอยู่ที่หยู่โจว คุณภาพดินของที่นี่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของหกรัฐแห่งเป่ยเซียวอีกด้วย
ส่วนผู้ที่ประสบอุทกภัยและอพยพมาจากอู่หยวนโจวจำนวนมากกว่าสี่แสนคนได้รวมตัวกันที่เยว่โจว สถานที่แห่งนี้มีสภาพอากาศมิดีเท่าใดนักเพราะตลอดทั้งปีมีฝนตกเพียงมิกี่ครา ทำให้ปริมาณน้ำและผลผลิตทางการเกษตรค่อนข้างน้อย
ส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเซี่ยซานโจวก่อนแล้วนั้น พวกเขาย้ายไปรวมตัวกันที่เฟิงโจวซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในเซี่ยซานโจวโดยเป็นเเหล่งกำเนิดของแม่น้ำชิงเจียงที่อุดมไปด้วยพืชผักนานาชนิด ส่วนมากพวกเขาจะประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์และอาศัยอยู่ริมน้ำโดยเร่ร่อนไปตามชะตากรรม
……
……
“ทูลฝ่าบาท อากาศร้อนระอุมากยิ่งนัก กระหม่อมมีความเห็นว่าพวกเราควรหยุดพักผ่อนที่เขตซื่อหยางเบื้องหน้านี้ก่อน แล้วค่อยออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ตกลง พวกเราจะหยุดพักผ่อนกันที่เขตซื่อหยางก่อนหนึ่งคืน”
“กระหม่อมจะให้หนิงซือเหยียนล่วงหน้าไปจัดการพ่ะย่ะค่ะ”
เจี่ยหนานซิงเดินจากไป จากนั้นต่งชูหลานก็ได้หยิบพัดออกมาพัดให้กับฟู่เสี่ยวกวนโดยที่ตัวนางเองก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา แสงสุริยาร้อนแรงแผดเผามายังผืนธรณี มิมีแม้แต่สายลมโชยแผ่ว
ถนนสายนี้ยังมิได้เทด้วยปูนซีเมนต์ตามที่เขาต้องการ เมื่อรถม้าวิ่งผ่านจึงทำให้ฝุ่นจากดินฟุ้งกระจาย จนเกิดเป็นภาพที่ดูเหมือนถูกทาทับด้วยสีส้มแดง
ด้านข้างมีผืนนาที่ปลูกข้าวสาลี บัดนี้พวกมันมีสีทองเหลืองอร่าม ทว่าเหมือนรวงข้าวจะมีขนาดเล็กกว่าที่ภูเขาซีซานครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ต้นกล้าที่ปักอยู่ในนา มันอุตส่าห์รอดมาได้จนถึงบัดนี้ แต่ท่าทางของมันก็แสนโรยราท่ามกลางแสงสุริยา เช่นนี้มันจะแข็งแรงเท่าต้นกล้าในโม่โจวได้เยี่ยงไร
เมื่อคราที่อยู่ในว่อเฟิงเต้า เขาเคยสนทนากับจัวตงหลายเรื่องเซี่ยซานโจวมาบ้างแล้ว ซึ่งจัวตงหลายเอ่ยว่าที่แห่งนี้จะเข้าสู่ฤดูร้อนในเดือนสี่ เมื่อถึงเดือนเก้าก็จะสิ้นสุดลง จากนั้นก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว ในฤดูหนาวจะหนาวเหน็บมากยิ่งนัก มีหิมะตกหนักตลอดห้าเดือน… สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่หายนะอย่างแท้จริง
เมล็ดพันธุ์ฟู้อู่ต้ายมิอาจส่งมายังสถานที่แห่งนี้ได้ รวมถึงมันเทศก็มิอาจปลูกในภูมิอากาศเช่นนี้ได้ แล้วการที่ชาวบ้านอาศัยอยู่แต่ละปีมีอาหารเพียงพอหรือไม่ ?
ตอนนั้นบิดาอ้วนกว้านซื้อไร่นาจากชาวบ้านในแปดรัฐแห่งหนางชางเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็ให้พวกเขาอพยพมายังถิ่นทุรกันดารเยี่ยงนี้ คาดว่าพวกเขาคงเคียดแค้นอยู่มิน้อย
เมื่อกลับไปยังวังหลวงเมื่อใด ข้าจะร่างนโยบายการปกครองหกรัฐแห่งเป่ยเซียวขึ้นมาพิเศษ ที่แห่งนี้ควรได้รับการยกเว้นภาษี และเรื่องการศึกษาภาคบังคับก็ต้องครอบคลุมมาถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
กรมเกษตรต้องก่อตั้งที่ทำการขึ้นที่นี่ จากนั้นก็รีบเร่งทำการเพาะปลูกฟู่ลิ่วต้ายกับมันเทศขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อให้ราษฎรในพื้นที่สามารถเลี้ยงหมูทานเนื้อได้
กรมทางน้ำต้องส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจและแก้ไขปัญหาเรื่องชลประทานขั้นพื้นฐานของที่นี่
อีกทั้งเรื่องของการก่อสร้างถนนหนทาง มองดูแล้วต้องลงทุนค่อนข้างมากเลยทีเดียว และต้องเร่งดำเนินการตัดถนนโดยเร็วที่สุด เพื่อสะดวกในการขนย้ายอุตสาหกรรมหนักของราชวงศ์อู๋มายังสถานที่แห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในภวังค์ความคิดเนิ่นนาน ต่งชูหลานเห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันใด นางนึกในใจว่ารอยยิ้มเบิกบานของนายน้อยเจ้าสำราญแห่งหลินเจียงผู้นั้น นับวันยิ่งลดน้อยลงเรื่อย ๆ หวังว่าหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้จะมิทำให้สุขภาพของเขาทรุดโทรม
……
เมืองที่ดูแปลกตาปรากฏสู่สายตาของฟู่เสี่ยวกวน กำแพงเตี้ย ๆ ที่โบกด้วยดินเหลือง ไร้ทหารยืนเฝ้าบนกำแพงเมือง มีเพียงทหารที่แต่งกายด้วยอาภรณ์ขาดวิ่นมิเรียบร้อย 4 นายนั่งอยู่ที่หน้าประตูเท่านั้น
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางมาถึงกำแพงเมือง ทหารยามเหล่านั้นก็ได้จ้องมองมายังรถม้าทั้งสามคัน จากนั้นพวกเขาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ไอหยา…แกะอ้วน !
“ซานเอ๋อ เจ้ารีบไปดู จากนั้นก็เก็บค่าเข้าเมืองมา 3 ตำลึง”
“ขอรับ ท่านหัวหน้า ! ”
แท้ที่จริงกฎมิได้เป็นเช่นนี้ เดิมทีค่าผ่านเข้าเมืองจะเก็บเพียงแค่ 10 อีแปะเท่านั้น แต่เมื่อครู่หัวหน้าจ้าวเอ่ยว่า 3 ตำลึง โทษที่พ่อค้าเหล่านี้โชคร้ายเองก็แล้วกัน
“จงนำเงิน 3 ตำลึงออกมาให้ข้า ข้าถึงจะให้พวกท่านเข้าเมือง มิเช่นนั้นก็หันหลังกลับเมืองของท่านไป อากาศร้อนระอุเช่นนี้ข้าคร้านจะยืนเถียงกับพวกท่าน”
เจี่ยหนานซิงยกยิ้มขึ้น “หากข้ามิจ่ายเล่า ? ”
หลี่ซานชะงักเล็กน้อยเพราะมิเคยได้ยินผู้ใดเอ่ยเยี่ยงนี้มาก่อน พวกเขาเดินทางมาจนถึงประตูเมืองแล้ว หรือว่าพวกเขาจะหันหลังกลับกัน ?
“หากมิจ่าย…ก็เชิญกลับไปเถิด”
“หากข้าจะเข้าไปให้ได้เล่า ? ”
“เช่นนั้นก็จ่ายค่าเข้าเมืองมาเสีย อย่ามัวแต่เอ่ยวาจาไร้สาระ”
ที่มุมหนึ่งของกำแพง จ้าวเต๋อยืนมองอยู่ พลางขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เหตุใดซานเอ๋อมัวแต่เอ่ยวาจาชักช้าอยู่ได้
ดังนั้นเขาจึงเดินถือดาบเข้ามา พลางเงยหน้าขึ้นมองขันทีเจี่ย เป็นคนมีเงินนี่ !
อาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่เป็นถึงผ้าไหม คุณภาพมิต่างอันใดกับอาภรณ์ของพวกใต้เท้าชั้นผู้ใหญ่เลยนี่
“มีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จ้าวเต๋อหันไปเอ่ยถามหลี่ซาน
“ท่านหัวหน้า ตาเฒ่านี่มิยอมจ่ายค่าเข้าเมืองให้พวกเราขอรับ”
จ้าวเต๋อถุยน้ำลายออกมา จากนั้นยกดาบในมือขึ้น “ตาเฒ่า รีบส่งเงินมา หากมิจ่ายก็ไสหัวกลับไปเสีย ! ”
อันธพาลจากหมู่บ้านยากไร้เยี่ยงนั้นหรือ !
ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ในรถม้ายื่นหน้าออกมาพลางหัวเราะร่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)