จากตำหนักหยั่งซินถึงเรือนฉางหนิงระยะทางไม่ใกล้ หยุนหลิงและเซียวปี้เฉิงขึ้นรถ เดินทางไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่ถึง
หยุนหลิงอดถามไม่ได้ “ทำไมไท่ซ่างหวงถึงพักในตำหนักที่ไกลขนาดนี้?”
เซียวปี้เฉิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเป็นห่วง “เสด็จปู่ชราแล้ว สองปีก่อนเริ่มป่วยเลอะเลือน จำเรื่องและจำคนไม่ได้ เสด็จพ่อจึงย้ายตำหนักของท่านไปที่เรือนฉางหนิง ที่นั่นเงียบสงบ เหมาะแก่การรักษาอาการป่วย และใกล้กับโรงหมอหลวง”
ในสมองของหยุนหลิงไม่มีความจำอะไรเกี่ยวกับไท่ซ่างหวง ระดับความเข้าใจต่อคนแก่คนนี้ ก็เหมือนกับประชาชนส่วนมาของต้าโจว
ฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนเผด็จการไร้คุณธรรม และต้าโจวก็เผชิญกับการรุกราน ประชาชนอยู่ไม่สุข ลุกขึ้นมาต่อต้าน
เดิมแล้วไท่ซ่างหวงเป็นชาวนายากจนคนหนึ่ง ถูกบังคับจับตัวไปเป็นทหาร หลังจากนั้นด้วยความสามารถของตัวเองสงบศึกภายในสู้ศึกภายนอก กลายเป็นฮ่องเต้คนใหม่ของต้าโจว
คนแก่คนนี้ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ตลอดชีวิตของเขาล้วนเป็นตำนาน
ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเทพแห่งสงครามคนหนึ่งในราชวงศ์ต้าโจว ก็คือไท่ซ่างหวง
รถม้าก็วิ่งมาอีกสิบห้านาที ในที่สุดก็มาถึงเรือนฉางหนิง
หยุนหลิงพยุงตัวเซียวปี้เฉิงเข้าไปห้องโถงกลาง ก็เห็นคนมากมายยืนอยู่ในห้องโถงแล้ว นอกจากหมอหลวงและพวกนางกำนัล ลูกหลานเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆก็ล้วนรีบมากันแล้ว
เห็นเหตุการณ์แบบนี้ หยุนหลิงเดาว่าไท่ซ่างหวงคงไม่ไหวแล้ว ถึงได้เรียกทุกคนมา
เยียนอ๋องนั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าเศร้าเสียใจ ไม่เห็นความดีใจที่พิษเย็นรักษาหายแล้วแม้แต่น้อย
“พี่สาม พี่มาแล้ว”
เซียวปี้เฉิงได้ยินน้ำเสียงสะอื้นของเขา ในใจบีบแน่น “วี่จือ เสด็จปู่เป็นอย่างไรบ้าง”
“อาจารย์หลินซินบอกว่า เสด็จปู่ล้มโดนหัว อย่างอื่นถึงแม้ไม่เป็นไร แต่กลับไม่ตื่น เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะกลายเป็นเหมือนคนตายที่มีชีวิต”
วันนี้หลินซินมาเอายาที่โรงหมอหลวง เจอไท่ซ่างหวงเกิดเรื่องพอดี ก็รีบมาในทันที
หยุนหลิงครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ถึงเข้าใจว่าคนตายที่มีชีวิตน่าจะหมายถึงคนอัมพาต
เซียวปี้เฉิงสีหน้าซีดขาว มือข้างลำตัวกำหมัดไว้แน่น “สามารถปลุกเสด็จปู่ได้หรือไม่?”
ในโลกก็มีผู้ป่วยคนตายที่มีชีวิตตื่นมาได้ เพียงแค่เห็นได้น้อยมาก ได้ยินพ่อแม่ลูกเมียร้องไห้พูดจาข้างหูทุกวัน คนป่วยเหมือนมีความรู้สึก ก็หายดีได้ด้วยตัวเองแล้ว
เยียนอ๋องสูดจมูก ปิดบังน้ำเสียงร้องไห้ไม่อยู่ “อาจารย์หลินซินให้เสด็จพ่อเรียกพวกเรามา ก็เพื่ออยากให้ทุกคนลองพูดกับเสด็จปู่ ดูว่าสามารถปลูกเสด็จปู่ให้ตื่นไหม”
“เมื่อครู่ข้าลองดูแล้ว แต่ว่าเสด็จปู่ยังคงสลบอยู่ เห็นพี่ใหญ่อยู่ในห้องโถง ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว อาจารย์หลินบอกว่านางก็มีความมั่นใจมากนัก ส่งนกพิราบสารให้กับอู่อานกงแล้ว แต่อู่อานกงอยู่ไกลถึงเป่ยฉิน อย่างน้อยต้องครึ่งเดือนถึงมากลับมาถึง”
หยุนหลิงฟังแล้ว ก็รู้ว่าทำไมเยียนอ๋องถึงได้เศร้าเสียใจสิ้นหวังขนาดนี้แล้ว
ถึงแม้ว่าคนอัมพาตจะแค่สลบไม่ได้สติ ยังคงมีสัญญาณชีพอยู่ อวัยวะต่างๆยังทำงานปกติ
แต่อย่างไรเสียที่นี่คือยุคโบราณ ไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือให้อาหารทางจมูก คนแก่อายุเจ็ดสิบกว่าอย่างไท่ซ่างหวง ลำพังแค่ป้อนน้ำข้าวป้อนยา กลัวว่าจะฝืนได้ไม่กี่วัน
หยุนหลิงก้มหน้าครุ่นคิด นางเกิดในศตวรรษที่ยี่สิบสาม องค์กรก็เคยวิจัยการปลูกผู้ป่วยอัมพาตด้วยพลังวิญญาณให้ตื่นได้ ส่วนนางก็เป็นหนึ่งในผู้วิจัยโครงการนี้พอดี
ตอนนี้ ห้องโถงในมีชายงามใบหน้าดุจหยกอันอ่อนโยน ร่างกายสูงยาวคนหนึ่งเดินออกมา
เขาเห็นฉู่หยุนหลิงที่ยืนเคียงไหล่กับเซียวปี้เฉิง ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองไปที่อื่น
“พี่ใหญ่! เป็นอย่างไรบ้าง เสด็จปู่ตื่นหรือยัง?”
เห็นตวนอ๋องออกมา เยียนอ๋องก็มองไปที่เขาอย่างมีความหวัง
ตวนอ๋องส่ายหน้าถอนหายใจยาว พูดเสียงเบา “ให้ปี้เฉิงเข้าไปลองดู ปกติเสด็จปู่ใช้เวลาอยู่กับเขามากที่สุด อาจจะมีผลบ้าง”
ได้ยินน้ำเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยนดั่งสายลมนี้ หยุนหลิงก็สังเกตตวนอ๋องโดยสัญชาตญาณ
ผู้ชายตรงหน้ามีบุคลิกคนเรียนหนังสืออย่างธรรมชาติ หน้าตาสง่างาม เป็นชายงามคนหนึ่งที่เห็นได้ยาก ไม่เหมือนกับเซียวปี้เฉิงที่เคร่งขรึมเย็นชาเลย
นี่ก็คือผู้ชายที่ฉู่หยุนหลิงคิดถึงอยู่ตลอดเวลามาหลายปี
เสมือนสังเกตเห็นสายตาอันไม่หลีกเลี่ยงของหยุนหลิง ร่างของตวนอ๋องเกร็งเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจ ในสายตามมีความรังเกียจเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายาหมื่นพิษ