องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์ นิยาย บท 52

เมื่อฉินเหยียนได้ยินบรรดาศักดิ์ที่เสด็จพ่อพระราชทานให้ว่าอ๋องเหยียนก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง

อ๋องเหยียนออกเสียงเหมือนกับราชาแห่งยมโลก!

ภายภาคหน้าเขาจะต้องทำให้อ๋องเหยียนเป็นชื่อที่เมื่อพูดถึงทุกที่ต่างก็สั่นสะท้าน!

เขาจึงรีบประสานมือและกล่าวว่า

"ขอบพระทัยเสด็จพ่อพะยะค่ะ บรรดาศักดิ์อ๋องเหยียนนี้ลูกชอบมาก ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงพระกรุณาพะยะค่ะ!"

ฮ่องเต้ฉินพยักหน้าอย่างพอใจ

"มีเพียงแค่บรรดาศักดิ์ก็ไม่มีประโยชน์ ในราชสำนักหากไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ มันก็ไม่ง่ายที่เจ้าจะปฏิบัติกิจ ข้าจะมอบตำแหน่งอะไรให้เจ้าดี?"

เวลานี้เหล่าขุนนางก็ยิ่งโกลาหล

เพิ่งแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นชินหวางระดับที่หนึ่งไปก็จะมอบอำนาจให้เขาเสียแล้ว เขาจะเข้าร่วมปฏิบัติกิจในราชสำนักและเข้าร่วมเน่ยเก๋อ นี่มันยอมรับไม่ได้จริงๆ!

"ฝ่าบาทพะยะค่ะ องค์ชายสิบสี่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา พระองค์จะทรงรับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรพะยะค่ะ!"

"ฝ่าบาทพยะค่ะ บุคคลผู้มีคุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่งย่อมมิอาจใช้ประโยชน์ได้ ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนดำเนินการพะยะค่ะ"

ฉินเหยียนกรอกตาและเสนอว่า

"เสด็จพ่อพะยะค่ะ หากจะพระราชทานตำแหน่งให้แก่ลูกเสนาบดีหงหลูซื่อดูจะค่อนข้างเหมาะกับลูกมากกว่าพะยะค่ะ"

ฮ่องเต้ฉินมองดูโอรสสิบสี่ของเขาด้วยความสงสัย

"เหยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องการเป็นเสนาบดีหงหลูซื่อหรือ?"

สิ่งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้ฉินเป็นอย่างมาก

หงหลูซื่ออยู่ภายใต้กรมพิธีการในบรรดาหกกรมซึ่งตำแหน่งอย่างเป็นทางการมีตั้งแต่ระดับสามขึ้นไปและเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีอำนาจมากนัก

"เจ้าไม่คิดดูใหม่หรือ?"

อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ฉินที่งุงงงเลย แม้แต่เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็งุนงงเช่นกัน

ได้บรรดาศักดิ์เป็นอ๋องและได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เดิมทีคิดว่าเขาจะร้องขอตำแหน่งที่มีอำนาจในการนำทัพ กลับกลายเป็นว่าต้องการตำแหน่งหงหลูซื่อ องค์ชายสิบสี่มีแผนการอันใดหรือ?

ชั่วขณะหนึ่งทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างก็ไม่เข้าใจ

ฉินเหยียนกลับแอบยิ้มอยู่ในใจ

ที่เรียกว่าหงหลูซื่อนั้นก็คือกระทรวงการต่างประเทศในระบบสมัยโบราณซึ่งรับผิดชอบด้านการทูตโดยเฉพาะ

ในสมัยโบราณเนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก การทูตจึงมิใช่วิธีปฏิบัติทั่วไป

มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีทูตจากอาณาจักรอื่นมาเยือนเท่านั้น

ตำแหน่งอย่างเป็นทางการนี้ต้อยต่ำในสายตาของทุกคน

เพราะว่าฉินเหยียนรู้ดีถึงความสำคัญของนักการทูต

หากต้องการพิชิตศัตรูโดยมิต้องนองเลือดและมิต้องต่อสู้ นักการทูตของหงหลูซื่อนั้นนับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในมือของคนสมัยปัจจุบันเช่นเขาซึ่งสามารถระเบิดพลังมหาศาลออกมาได้

การร้องขอตำแหน่งเสนาบดีหงหลูซื่อตำแหน่งนี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เขาจึงเลือกในที่สุด ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งราชสำนักไม่รู้ว่าฉินเหยียนกำลังคิดอะไรอยู่จึงถากถางอย่างไม่หยุดหย่อน

"เมื่อคืนองค์ชายสิบสี่คงมิใช่เมาจนโง่ไปแล้วกระมัง? จึงขอตำแหน่งเสนาบดีหงหลูซื่อ"

"ช่างเป็นองค์ชายที่ไร้ค่าเสียจริง รู้จักหาเวลาว่างจึงร้องขอตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่เช่นนี้ ทำให้ข้าตกใจไปเสียหมด"

"เมื่อครู่เพิ่งกล่าวว่าสามารถบดขยี้กองทัพนับล้านของอาณาจักรจ้าวได้ นี่มิได้แสดงถึงความไร้สามารถของเขาหรอกหรือ"

เสนาบดีหงหลูซื่อเป็นหนึ่งใน 'เก้าเสนาบดี'ซึ่งเทียบเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทว่าสำหรับในราชสำนักอำนาจกลับมิได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น

อย่างน้อยในบรรดาหกกรม เสนาบดีกรมพิธีการและรองเจ้ากรมพิธีการ ตำแหน่งขุนนางระดับสองนี้ก็สามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดาย

แม้เขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่เขายังอยู่ภายใต้การควบคุมของหกกรม เขาก็จะมิอาจก่อคลื่นลมอันใดได้

ฮ่องเต้ฉินก็เห็นปัญหาเช่นกัน เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและโน้มน้าวว่า

"เหยียนเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าหลังจากได้บรรดาศักดิ์อ๋องแล้ว เจ้าจะต้องเผชิญกับความกดดัน หากเจ้าไม่มีอำนาจในราชสำนัก เจ้าก็จะถูกเหล่าพระเชษฐาองค์อื่นๆกดขี่"

แม่เจ้า!

ครั้งนี้ฮ่องเต้ฉินไม่เสแสร้งอีกต่อไปและกล่าวอย่างเปิดเผยโดยแนะนำองค์ชายสิบสี่ให้รวบรวมผู้ติดตามของเขาและแย่งชิงอำนาจกับองค์ชายที่เกิดจากตระกูลอื่น!

สวรรค์!

"กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดมาดีแล้วและแน่ใจว่าเสนาบดีหงหลูซื่อนั้นสามารถแก้ไขวิกฤตสงครามของต้าฉินของเราได้ ขอ เสด็จพ่อโปรดทรงอนุญาตด้วยเถิดพะยะค่ะ"

ครั้งนี้ฮ่องเต้ฉินก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ว่าองค์ชายสิบสี่ผู้นี้มีแผนการอะไร

ในเมื่อเขาเป็นคนร้องขอจะต้องมีแผนในใจแล้วอย่างแน่นอน จึงทำได้เพียงตกปากรับคำ

"ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นเสนาบดีหงหลูซื่อและรับตำแหน่งทันที หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง"

ฉินเหยียนประสานมือและกล่าวว่า

"ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตาพะยะค่ะ!"

หลังจากโค้งคำนับแล้ว ขันทีจึงส่งชุดขุนนางและหมวกซึ่งมีมงกุฎอันสุกสว่างอยู่ด้านบนให้แก่ฉินเหยียน

ยังไม่ทันที่ฉินเหยียนจะรับมอบสิ่งของ เขาก็ร้องขอต่อ

"เสด็จพ่อ ลูกยังมีคำขอที่อาจฟังดูไร้เหตุผลอีกหนึ่งอย่างพะยะค่ะ"

"มีอะไรก็ว่ามา!"

มุมปากของฉินเหยียนยกขึ้นเล็กน้อย เขาหมายตาดาบของฮ่องเต้ฉิน

"ลูกอยากขอของรางวัลอีกหนึ่งอย่างพะยะค่ะ"

ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วก็เข้าใจทันทีว่าองค์ชายสิบสี่ไม่รู้จักพอ

การได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องและขุนนางนั้นเป็นความกรุณาอันยิ่งใหญ่แล้ว แต่เขากลับไร้ยางอายและขอรางวัลซ้ำแล้วซ้ำอีก

ฮ่องเต้ฉินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

"ไหนลองว่ามาสิ"

ฉินเหยียนประสานมือและกล่าวว่า

"ลูกไม่มีอาวุธที่เหมาะมือจึงอยากจะขอพระแสงดาบคู่พระวรกายของเสด็จพ่อพะยะค่ะ"

"ไม่ได้!"

คราวนี้เหล่าขุนนางต่างไม่ยอม

พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงและร้องขอ

"พระแสงดาบของฝ่าบาทนั้นคือชื่อเซียวเป็นพระแสงดาบที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรฉินของเรา มันเป็นสัญลักษณ์ขององค์ฮ่องเต้ มีเพียงฮ่องเต้แห่งต้าฉินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติคู่ควร เจ้าสารเลว ถึงกับกล้าฝักใฝ่บัลลังก์ฮ่องเต้ เจ้าคนทรยศ!"

"ฝ่าบาท องค์ชายสิบสี่มีเจตนาหลอกลวงเบื้องสูง ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพะยะค่ะ"

เมื่อฮ่องเต้ฉินได้ยินว่าฉินเหยียนต้องการดาบชื่อเซียวของเขาก็ตกตะลึง

ทว่าครู่เดียวก็เข้าใจ

ในราชสำนักองค์ชายสิบสี่อยู่เพียงลำพังไร้คนคอยช่วยเหลือไร้การสนับสนุนจากตระกูล คำพูดย่อมไร้น้ำหนักยากที่จะโน้มน้าวใจผู้คน

หากคิดจะทำการให้สำเร็จ มีเพียงต้องพึ่งพาอำนาจของเขาในฐานะฮ่องเต้เท่านั้น

ความคิดที่รอบคอบเช่นนี้ มิได้มองเขาผิดไปจริงๆ

ดังนั้นเขาจึงดึงดาบออกมา

"เหยียนเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อเซียวนี้หมายถึงอะไร?"

"ลูกเข้าใจ พะยะค่ะ"

ฉินเหยียนมิได้ตอบอย่างชัดเจน

ฮ่องเต้ฉินสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วอธิบายว่า

"ดาบชื่อเซียวนั้นเป็นหนึ่งในสิบศาสตราวุธเทพของโลก มันเป็นดาบของฮ่องเต้แห่งต้าฉินของเรามาโดยตลอด หากเจ้าต้องการชื่อเซียวนั่นก็หมายความว่าเจ้าต้องการบัลลังก์ของข้า"

เขาโบกดาบทันทีที่กล่าวจบ

"เจ้ามีโทษอันใดรู้หรือไม่!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์