เมื่อฉินเหยียนได้ยินบรรดาศักดิ์ที่เสด็จพ่อพระราชทานให้ว่าอ๋องเหยียนก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง
อ๋องเหยียนออกเสียงเหมือนกับราชาแห่งยมโลก!
ภายภาคหน้าเขาจะต้องทำให้อ๋องเหยียนเป็นชื่อที่เมื่อพูดถึงทุกที่ต่างก็สั่นสะท้าน!
เขาจึงรีบประสานมือและกล่าวว่า
"ขอบพระทัยเสด็จพ่อพะยะค่ะ บรรดาศักดิ์อ๋องเหยียนนี้ลูกชอบมาก ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงพระกรุณาพะยะค่ะ!"
ฮ่องเต้ฉินพยักหน้าอย่างพอใจ
"มีเพียงแค่บรรดาศักดิ์ก็ไม่มีประโยชน์ ในราชสำนักหากไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ มันก็ไม่ง่ายที่เจ้าจะปฏิบัติกิจ ข้าจะมอบตำแหน่งอะไรให้เจ้าดี?"
เวลานี้เหล่าขุนนางก็ยิ่งโกลาหล
เพิ่งแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นชินหวางระดับที่หนึ่งไปก็จะมอบอำนาจให้เขาเสียแล้ว เขาจะเข้าร่วมปฏิบัติกิจในราชสำนักและเข้าร่วมเน่ยเก๋อ นี่มันยอมรับไม่ได้จริงๆ!
"ฝ่าบาทพะยะค่ะ องค์ชายสิบสี่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา พระองค์จะทรงรับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรพะยะค่ะ!"
"ฝ่าบาทพยะค่ะ บุคคลผู้มีคุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่งย่อมมิอาจใช้ประโยชน์ได้ ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนดำเนินการพะยะค่ะ"
ฉินเหยียนกรอกตาและเสนอว่า
"เสด็จพ่อพะยะค่ะ หากจะพระราชทานตำแหน่งให้แก่ลูกเสนาบดีหงหลูซื่อดูจะค่อนข้างเหมาะกับลูกมากกว่าพะยะค่ะ"
ฮ่องเต้ฉินมองดูโอรสสิบสี่ของเขาด้วยความสงสัย
"เหยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องการเป็นเสนาบดีหงหลูซื่อหรือ?"
สิ่งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้ฉินเป็นอย่างมาก
หงหลูซื่ออยู่ภายใต้กรมพิธีการในบรรดาหกกรมซึ่งตำแหน่งอย่างเป็นทางการมีตั้งแต่ระดับสามขึ้นไปและเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีอำนาจมากนัก
"เจ้าไม่คิดดูใหม่หรือ?"
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ฉินที่งุงงงเลย แม้แต่เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็งุนงงเช่นกัน
ได้บรรดาศักดิ์เป็นอ๋องและได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เดิมทีคิดว่าเขาจะร้องขอตำแหน่งที่มีอำนาจในการนำทัพ กลับกลายเป็นว่าต้องการตำแหน่งหงหลูซื่อ องค์ชายสิบสี่มีแผนการอันใดหรือ?
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างก็ไม่เข้าใจ
ฉินเหยียนกลับแอบยิ้มอยู่ในใจ
ที่เรียกว่าหงหลูซื่อนั้นก็คือกระทรวงการต่างประเทศในระบบสมัยโบราณซึ่งรับผิดชอบด้านการทูตโดยเฉพาะ
ในสมัยโบราณเนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก การทูตจึงมิใช่วิธีปฏิบัติทั่วไป
มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีทูตจากอาณาจักรอื่นมาเยือนเท่านั้น
ตำแหน่งอย่างเป็นทางการนี้ต้อยต่ำในสายตาของทุกคน
เพราะว่าฉินเหยียนรู้ดีถึงความสำคัญของนักการทูต
หากต้องการพิชิตศัตรูโดยมิต้องนองเลือดและมิต้องต่อสู้ นักการทูตของหงหลูซื่อนั้นนับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในมือของคนสมัยปัจจุบันเช่นเขาซึ่งสามารถระเบิดพลังมหาศาลออกมาได้
การร้องขอตำแหน่งเสนาบดีหงหลูซื่อตำแหน่งนี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เขาจึงเลือกในที่สุด ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งราชสำนักไม่รู้ว่าฉินเหยียนกำลังคิดอะไรอยู่จึงถากถางอย่างไม่หยุดหย่อน
"เมื่อคืนองค์ชายสิบสี่คงมิใช่เมาจนโง่ไปแล้วกระมัง? จึงขอตำแหน่งเสนาบดีหงหลูซื่อ"
"ช่างเป็นองค์ชายที่ไร้ค่าเสียจริง รู้จักหาเวลาว่างจึงร้องขอตำแหน่งที่ไม่มีหน้าที่เช่นนี้ ทำให้ข้าตกใจไปเสียหมด"
"เมื่อครู่เพิ่งกล่าวว่าสามารถบดขยี้กองทัพนับล้านของอาณาจักรจ้าวได้ นี่มิได้แสดงถึงความไร้สามารถของเขาหรอกหรือ"
เสนาบดีหงหลูซื่อเป็นหนึ่งใน 'เก้าเสนาบดี'ซึ่งเทียบเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทว่าสำหรับในราชสำนักอำนาจกลับมิได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
อย่างน้อยในบรรดาหกกรม เสนาบดีกรมพิธีการและรองเจ้ากรมพิธีการ ตำแหน่งขุนนางระดับสองนี้ก็สามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดาย
แม้เขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่เขายังอยู่ภายใต้การควบคุมของหกกรม เขาก็จะมิอาจก่อคลื่นลมอันใดได้
ฮ่องเต้ฉินก็เห็นปัญหาเช่นกัน เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและโน้มน้าวว่า
"เหยียนเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าหลังจากได้บรรดาศักดิ์อ๋องแล้ว เจ้าจะต้องเผชิญกับความกดดัน หากเจ้าไม่มีอำนาจในราชสำนัก เจ้าก็จะถูกเหล่าพระเชษฐาองค์อื่นๆกดขี่"
แม่เจ้า!
ครั้งนี้ฮ่องเต้ฉินไม่เสแสร้งอีกต่อไปและกล่าวอย่างเปิดเผยโดยแนะนำองค์ชายสิบสี่ให้รวบรวมผู้ติดตามของเขาและแย่งชิงอำนาจกับองค์ชายที่เกิดจากตระกูลอื่น!
สวรรค์!
"กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดมาดีแล้วและแน่ใจว่าเสนาบดีหงหลูซื่อนั้นสามารถแก้ไขวิกฤตสงครามของต้าฉินของเราได้ ขอ เสด็จพ่อโปรดทรงอนุญาตด้วยเถิดพะยะค่ะ"
ครั้งนี้ฮ่องเต้ฉินก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ว่าองค์ชายสิบสี่ผู้นี้มีแผนการอะไร
ในเมื่อเขาเป็นคนร้องขอจะต้องมีแผนในใจแล้วอย่างแน่นอน จึงทำได้เพียงตกปากรับคำ
"ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นเสนาบดีหงหลูซื่อและรับตำแหน่งทันที หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง"
ฉินเหยียนประสานมือและกล่าวว่า
"ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตาพะยะค่ะ!"
หลังจากโค้งคำนับแล้ว ขันทีจึงส่งชุดขุนนางและหมวกซึ่งมีมงกุฎอันสุกสว่างอยู่ด้านบนให้แก่ฉินเหยียน
ยังไม่ทันที่ฉินเหยียนจะรับมอบสิ่งของ เขาก็ร้องขอต่อ
"เสด็จพ่อ ลูกยังมีคำขอที่อาจฟังดูไร้เหตุผลอีกหนึ่งอย่างพะยะค่ะ"
"มีอะไรก็ว่ามา!"
มุมปากของฉินเหยียนยกขึ้นเล็กน้อย เขาหมายตาดาบของฮ่องเต้ฉิน
"ลูกอยากขอของรางวัลอีกหนึ่งอย่างพะยะค่ะ"
ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วก็เข้าใจทันทีว่าองค์ชายสิบสี่ไม่รู้จักพอ
การได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องและขุนนางนั้นเป็นความกรุณาอันยิ่งใหญ่แล้ว แต่เขากลับไร้ยางอายและขอรางวัลซ้ำแล้วซ้ำอีก
ฮ่องเต้ฉินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
"ไหนลองว่ามาสิ"
ฉินเหยียนประสานมือและกล่าวว่า
"ลูกไม่มีอาวุธที่เหมาะมือจึงอยากจะขอพระแสงดาบคู่พระวรกายของเสด็จพ่อพะยะค่ะ"
"ไม่ได้!"
คราวนี้เหล่าขุนนางต่างไม่ยอม
พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงและร้องขอ
"พระแสงดาบของฝ่าบาทนั้นคือชื่อเซียวเป็นพระแสงดาบที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรฉินของเรา มันเป็นสัญลักษณ์ขององค์ฮ่องเต้ มีเพียงฮ่องเต้แห่งต้าฉินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติคู่ควร เจ้าสารเลว ถึงกับกล้าฝักใฝ่บัลลังก์ฮ่องเต้ เจ้าคนทรยศ!"
"ฝ่าบาท องค์ชายสิบสี่มีเจตนาหลอกลวงเบื้องสูง ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพะยะค่ะ"
เมื่อฮ่องเต้ฉินได้ยินว่าฉินเหยียนต้องการดาบชื่อเซียวของเขาก็ตกตะลึง
ทว่าครู่เดียวก็เข้าใจ
ในราชสำนักองค์ชายสิบสี่อยู่เพียงลำพังไร้คนคอยช่วยเหลือไร้การสนับสนุนจากตระกูล คำพูดย่อมไร้น้ำหนักยากที่จะโน้มน้าวใจผู้คน
หากคิดจะทำการให้สำเร็จ มีเพียงต้องพึ่งพาอำนาจของเขาในฐานะฮ่องเต้เท่านั้น
ความคิดที่รอบคอบเช่นนี้ มิได้มองเขาผิดไปจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงดึงดาบออกมา
"เหยียนเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อเซียวนี้หมายถึงอะไร?"
"ลูกเข้าใจ พะยะค่ะ"
ฉินเหยียนมิได้ตอบอย่างชัดเจน
ฮ่องเต้ฉินสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วอธิบายว่า
"ดาบชื่อเซียวนั้นเป็นหนึ่งในสิบศาสตราวุธเทพของโลก มันเป็นดาบของฮ่องเต้แห่งต้าฉินของเรามาโดยตลอด หากเจ้าต้องการชื่อเซียวนั่นก็หมายความว่าเจ้าต้องการบัลลังก์ของข้า"
เขาโบกดาบทันทีที่กล่าวจบ
"เจ้ามีโทษอันใดรู้หรือไม่!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์