ท่าทางที่โชกเลือดไปทั้งตัวขององค์ชายสิบสี่เมื่อคืนนี้ยังติดตา เมื่อพวกเขานึกถึงก็รู้สึกเย็นสันหลัง
ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นต่างก็ก้มศีรษะลงทีละคนโดยพยายามหลีกเลี่ยงเขา และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะเกรงกลัวภัยพิบัติที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิต
ฉินเหยียนเดินวางท่าใหญ่โตเข้าไปในตำหนักจินหลวน
เมื่อขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งราชสำนักเห็นเขาก็เหมือนกับหนูเห็นแมว ทุกคนต่างหดคอหลบสายตาคล้ายกับทำความผิด
เขารู้ว่าโจรเฒ่าเหล่านี้เพิ่งจะร้องเรียนเขา
ทว่าฉินเหยียนก็มิได้ใส่ใจ
เวลานี้การทำลายแผนการของอาณาจักรจ้าวจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เขาจึงกราบทูลว่า
"เสด็จพ่อ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีพะยะค่ะ!"
ฮ่องเต้ฉินไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่เขารู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อเห็นเจ้าสิบสี่ ราวกับว่าในวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่านี้มีเพียงเจ้าสิบสี่เท่านั้นที่ไม่มีความปรารถนาส่วนตัวและทำเพื่อต้าฉินโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
เขามีสีหน้าอ่อนลงมากเช่นกันพลางโบกมือและกล่าวว่า
"เหยียนเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี เจ้ามาที่ท้องพระโรงมีเรื่องอันใดหรือ?"
ฉินเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า
"กราบทูลเสด็จพ่อ หลังจากลูกได้ตรวจสอบแล้วพบว่าอาณาจักรจ้าวจะรวบรวมกองกำลังชั้นยอดสามล้านคนภายในหนึ่งร้อยวันเพื่อวางแผนโจมตีต้าฉินของเราพะยะค่ะ"
"ว่าอย่างไรนะ!"
ทันทีที่กล่าวคำพูดนี้ออกไป ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างก็ส่งเสียงอุทานออกมาทันที
สีหน้าของฮ่องเต้ฉินเปลี่ยนไปทันที เขารีบนั่งตัวตรงและถามอย่างจริงจังว่า
"เหยียนเอ๋อร์ ข่าวนี้เจ้าได้มาจากที่ใดหรือ? เชื่อถือได้หรือไม่?"
ฉินเหยียนกราบทูลอย่างละเอียดว่า
"ทูลเสด็จพ่อ ลูกได้รับข่าวนี้มาจากปากของจ้าวจีเอ๋อร์ องค์หญิงแห่งอาณาจักรจ้าว ข่าวนี้เชื่อถือได้อย่างแน่นอนพะยะค่ะ"
นัยน์ตาของฮ่องเต้ฉินเป็นประกาย
อาณาจักรจ้าวมีแผนการที่ดีจริงๆ พวกเขาเสียสละองค์หญิงและใช้โอกาสนี้โจมตีต้าฉิน การดีดลูกคิดรางแก้วเช่นนี้ทำได้ไม่เลวเลยจริงๆ!
หากเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า ความแข็งแกร่งของฉินและจ้าวสองอาณาจักรนี้ไม่ต่างกัน
ทว่าการศึกสงครามของสองกองทัพ ผู้ที่ทุกข์ยากที่สุดก็คือประชาชน วันเวลาแห่งความสงบสุขกว่าสิบปีของต้าฉินจะไม่มี อีกต่อไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ฉินก็อดมิได้ที่จะรู้สึกขมขื่นและมิอาจตัดสินใจได้ชั่วขณะ
เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊บางคนรีบออกมาตำหนิว่า
"ฉินและจ้าวสองอาณาจักรมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะงานเลี้ยงเมื่อคืนที่องค์ชายสิบสี่สังหาร เหล่าทูตของอาณาจักรจ้าวจนทำให้อาณาจักรจ้าวมีข้ออ้าง ความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักรจะกลับตาลปัตรจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร!"
ยังมิทันที่เขาจะกล่าวจบ สายตาดุจดั่งมีดของฉินเหยียนก็จ้องมองไปที่ขุนนางผู้ซึ่งกำลังสาดโคลนใส่เขา
ขุนนางผู้นั้นสัมผัสได้เพียงลมหนาวที่พัดผ่านกระดูกสันหลังของเขาและไม่กล้ากล่าวอะไรอีก
ยังมีผู้ที่กล้าที่จะกล่าวต่อด้วยความระมัดระวังว่า
"ฝ่าบาท นี่มิใช่เพราะองค์ชายสิบสี่ผู้ซึ่งกระทำความผิดอย่างกำเริบสืบสาน ไม่เห็นกฏแห่งกรรมอยู่ในสายตา จนทำให้ต้าฉินของพวกเราต้องกลายเป็นผู้ถูกกระทำเช่นนี้หรือ! ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเถิดพะยะค่ะ! คืนความยุติธรรมให้แก่ใต้หล้าด้วยเถิดพะยะค่ะ!"
ก่อนที่ขุนนางผู้นี้จะกล่าวจบ ดวงตาของฉินเหยียนที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นก็พุ่งไปหาเขาทันที
ทำให้ขุนนางผู้นั้นตกใจมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว และกลั้นคำพูดที่กำลังจะพูดเอาไว้ ความเย่อหยิ่งเมื่อครู่นั้นหายไป จากนั้นเขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับก้มศีรษะอย่างซื่อสัตย์
ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ และไม่มีผู้ใดกล้าวิพากษ์วิจารณ์ฉินเหยียนต่อหน้าเขาอีก
ฮ่องเต้ฉินจ้องมองไปที่ฉินเหยียน
เวลานี้เจ้าสิบสี่ได้แสดงความสามารถออกมาจนผู้คนตกตะลึง กล้าหาญมีไหวพริบ กล้าได้กล้าเสีย ซึ่งแตกต่างจากฉินเหยียนคนก่อนที่ไม่มีความรู้ไร้สามารถ ขี้ขลาดตาขาวราวกับคนละคน
การยืนหยัดต่ออาณาจักรจ้าวเมื่อคืนนี้ยิ่งทำให้มุมมองของเขาที่มีต่อฉินเหยียนเปลี่ยนไป เขาถามด้วยความคาดหวังว่า
"เหยียนเอ๋อร์ ในเมื่อเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างก็คิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า หากข้าจะให้เจ้าทำความดีลบล้างความผิด และมอบหมายภารกิจปราบปรามความวุ่นวายให้แก่เจ้า เจ้ามีความมั่นใจกี่ส่วนที่จะชนะ?"
มุมปากของฉินเหยียนยกขึ้น โอกาสที่จะสร้างชื่อให้ตัวเองมาถึงแล้ว เขาจึงประสานมือและกล่าวว่า
"กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถบดขยี้อาณาจักรจ้าวและเอาชนะได้พะยะค่ะ!
ทันทีที่กล่าวคำนี้ออกมา ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เริ่มกระซิบกระซาบทันที
"ช่างคุยโวอย่างไม่ระวังคำพูดเสียจริงๆ"
"ถูกต้อง อาณาจักรจ้าวแข็งแกร่งนัก หากต่อสู้กันจริงๆแล้ว คาดว่าเขาต้องตกใจกลัว"
"พวกเรามาคอยดูตอนที่เขายกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตนเองกันเถิด"
ฮ่องเต้ฉินกลับมีสีหน้าพึงพอใจ ในบรรดาโอรสของเขา ในที่สุดก็มีผู้ที่ทำให้เขามองเห็นความหวังแล้ว เขาจึงพูดเสียงดังว่า
"ดี! สมแล้วที่เป็นโอรสของข้า กล้าได้กล้าเสีย ไม่เลว!"
"เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องเมื่อคืนเจ้ามีส่วนผิดจริงๆ ความผิดและความดีความชอบหักล้างกัน เช่นนั้นข้าจะลงโทษให้เจ้าทำความดีลบล้างความผิด และแต่งตั้งเจ้าเป็นชินหวางลำดับที่หนึ่ง มีชื่อว่าอ๋องเหยียน!"
"ว่าอย่างไรนะ?"
"ไม่ได้นะพะยะค่ะ ฝ่าบาท!"
"ฝ่าบาท โปรดไตร่ตรองด้วยเถิดพะยะค่ะ!"
"ขอฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยเถิดพะยะค่ะ!"
เมื่อขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ได้ยินว่าจะแต่งตั้งองค์ชายสิบสี่เป็นชินหวาง สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ต้องรู้ว่าตามระบบของต้าฉิน การที่องค์ชายจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องจะต้องมีคุณงามความดี
และมีระดับหนึ่งถึงสูงที่สุดคือระดับเก้า
เวลานี้องค์ชายแปดยังเป็นเพียงแค่ชินหวางระดับสาม ส่วนองค์ชายผู้มีความสามารถคนอื่นๆยังเป็นแค่ระดับหนึ่งหรือระดับสองเท่านั้น
ทันทีที่องค์ชายได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง นั่นก็หมายความว่าเขามีสิทธิ์ที่จะสืบทอดบัลลังก์
ความคิดของเหล่าขุนนางคือเกรงกลัวว่าองค์ชายสิบสี่จะมีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์ จากผลงานของเขาเมื่อวานนี้ซึ่งสามารถกำราบทุกคน ชินหวางคนอื่นๆล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา
องค์ชายเช่นนี้จะต้องเป็นหายนะในภายภาคหน้า และเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของตระกูลของพวกเขาอย่างแน่นอน จะให้องค์ชายสิบสี่สมหวังมิได้เป็นอันขาด
มิเช่นนั้นจะเกิดหายนะไม่รู้จบ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายผู้ทรงเสน่ห์