อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 296

ซูปิ่งซ่านล้วงกุญแจออกมา เปิดประตูอย่างระมัดระวัง

โม่จงหรานมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะเงื้อเท้าข้างหนึ่งขึ้นเตะซูปิ่งซ่านเข้าไปข้างใน..... ซูปิ่งซ่านผู้ซึ่งไม่ได้มีการป้องกันตัวใด ๆ ล้มหน้าคะมำลงกับพื้นทันที แล้วไปนอนกองอยู่บนพื้นอย่างน่าสังเวช

"ฝ่าบาท……"

เขาหันหน้าไป มองโม่จงหรานด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจเต็มที

“เอาล่ะ มาขจัดวิกฤตกันเถอะ”

จากนั้นโม่จงหรานก็ถอนหายใจเฮือก จัดชายเสื้อคลุมกับแขนเสื้อให้เรียบร้อยด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะเดินเชิดหน้าบ่าตั้ง สองมือไพล่หลังเข้าไปในตำหนักหย่งโซ่ว

ซูปิ่งซ่านถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ชาติที่แล้วเขาทำเวรทำกรรมอะไรไว้นะ!

ตำหนักหย่งโซ่วยามนี้มืดสนิท

โม่จงหรานเต็มไปด้วยความสงสัย "เต๋อเฟยล่ะ?"

ซูปิ่งซ่านตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วเดินตามไป "ข้าน้อยก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อครู่ตอนที่ข้าน้อยออกจากตำหนัก ยังได้ยินเต๋อเฟยโกรธเกรี้ยวจนตะโกนลั่นอยู่เลย!"

โม่จงหรานเดินคลำทางในความมืดเข้าไปในห้องบรรทม

เพิ่งเข้าประตูมาได้ ก็เห็นหลี่หมัวมัวเดินย่อง ๆ ออกมา

เมื่อเห็นว่าโม่จงหรานกลับมาแล้ว.....

ชั่วพริบตานั้น หลี่หมัวมัวตื่นเต้นยินดีเสียจนน้ำตาไหลอาบหน้า "ฝ่าบาท ท่านกลับมาได้เสียที!"

“เต๋อเฟยล่ะ?”

โม่จงหรานถามอีกครั้ง

หลี่หมัวมัวรีบชี้ไปที่โถงตำหนักใน "เต๋อเฟยเหนียงเหนียงเหนื่อยหนักมากแล้ว เพิ่งจะหลับไปเพคะ!"

เหนื่อยเกินไป?

โม่จงหรานแสดงท่าทางสงสัย

วันนี้เขาสั่งกักบริเวณเต๋อเฟยไว้ในตำหนักหย่งโซ่ว กระทั่งแค่หน้าประตูตำหนักนางก็ยังออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ สันนิษฐานคร่าว ๆ ดูก็รู้ว่านางคงทำอะไรไม่ได้เลย แล้วจะเหนื่อยได้อย่างไรล่ะ?

"มันเกิดอะไรขึ้น?"

“ฝ่าบาท ออกไปคุยข้างนอกเถิดเพคะ กันไว้เผื่อพระสนมตื่นขึ้นมาแล้วจะก่อภัยพิบัติอีกคำรบ!”

หลี่หมัวมัวพูดเสียงเบาๆ

แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะฟังดูเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมมากนัก

หลังออกจากห้องบรรทม หลี่หมัวมัวก็สั่งให้คนรับใช้ในตำหนักจุดตะเกียง

“มีเรื่องที่ฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบ วันนี้ท่านกักบริเวณเต๋อเฟยเหนียงเหนียงไว้ในตำหนักหย่งโซ่ว เต๋อเฟยเหนียงเหนียงโกรธจนแทบเสียสติไปเลยเพคะ!”

ใครจะไปรู้ เต๋อเฟยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างมีความสุข หลังเปลี่ยนไปสวมชุดที่นางโปรดปรานที่สุด แต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ชั่วขณะที่จะออกไปข้างนอก.....ก็พบว่าประตูตำหนักถึงกับถูกลงดานแน่น?!

เต๋อเฟยเปลี่ยนจากการตะโกนร้องเรียกในตอนแรก เป็นการแผดเสียงด่าทอสาปแช่ง

ซูปิ่งซ่านยืนอยู่ด้านนอก พูดอย่างระมัดระวังว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กักบริเวณเต๋อเฟยเป็นเวลาหนึ่งวัน.....

นี่จึงเหมือนกับการแหย่รังแตนไปโดยปริยาย

เต๋อเฟยเดินพล่านไปทั่ว ทั้งทุบตีขว้างปาข้าวของในตำหนักจนเละเทะ

พอทุบตีขว้างปาจนเหนื่อย ก็พักผ่อนไปครึ่งวัน

"หลังจากนอนกลางวันเสร็จ เต๋อเฟยเหนียงเหนียงก็คว้าไม้ขนไก่ที่ใช้ปัดฝุ่นขึ้นมา รั้นจะให้เสี่ยวหยุนจื่อสอนวรยุทธ์นางให้จงได้!"

เสี่ยวหยุนจื่อเป็นขันทีน้อยที่รับใช้อยู่ในตำหนักหย่งโซ่ว พอจะรู้วรยุทธ์บ้างนิดหน่อย

เมื่อเห็นสีหน้าที่ยุ่งเหยิงของโม่จงหราน หลี่หมัวมัวก็รู้ทันทีว่าเขาคงจะเดาออกแน่แล้ว ว่าเต๋อเฟยคิดจะเรียนวรยุทธ์ไว้ใช้ทำอะไร..... ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าจะเอาไว้ทุบตีเขาให้หนัก ๆ สักยกเพื่อระบายความโกรธของนางนั่นเอง!

“หลังจากฝึกวรยุทธ์ตลอดบ่าย พระสนมก็เหนื่อยสุดขีดเลยเพคะ”

หลี่หมัวมัวพูดขึ้นอีกครั้งว่า "หลังอาหารเย็น อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พระสนมก็หลับไปอย่างรวดเร็วเลยเพคะ"

“อื้ม ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

โม่จงหรานเข้าใจขึ้นมาได้โดยฉับพลัน

มิน่าล่ะ หลี่หมัวมัวถึงบอกว่าเต๋อเฟยเหนื่อยเกินไป พอได้ยินแบบนี้ ก็เข้าใจแล้วว่านางเหนื่อยเกินไปจริงๆ...

"ในเมื่อเหนื่อยแล้ว ก็ให้นางพักผ่อนมาก ๆ หน่อยแล้วกัน!"

โม่จงหรานลุกขึ้นยืน "ข้าจะกลับตำหนักฉินเจิ้งแล้ว"

เพิ่งจะออกจากตำหนักหย่งโซ่ว ซูปิ่งซ่านก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางอึกอักลังเลว่า "ฝ่าบาท ท่านสามารถหลบเลี่ยงครั้งแรกได้ แต่ก็ไม่อาจหลบหนีไปได้ตลอดกาล! จะอย่างไรพอถึงพรุ่งนี้ พระสนมก็ต้องตื่นอยู่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ!"

พักผ่อนสักคืน เติมพลังชีวิตให้เต็มเปี่ยม

พรุ่งนี้เช้า เจอกันที่ตำหนักฉินเจิ้ง

เมื่อถึงเวลานั้น เต๋อเฟยจะเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเปี่ยมล้น น่ากลัวว่าคนที่ต้องเสียเปรียบคงจะเป็นฮ่องเต้ของพวกเขาเองแน่นอนแล้ว.....

โม่จงหรานถึงกับชะงักฝีเท้า

เขาหันกลับไปมองตำหนักหย่งโซ่วที่มืดมิด พูดแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่า "เช่นนั้นก็สั่งกักบริเวณเต๋อเฟยเพิ่มอีกหนึ่งวัน! รอนางหายโกรธเมื่อไหร่ ค่อยสั่งยกเลิกการกักบริเวณ"

ซูปิ่งซ่าน: "....ฝ่าบาท แบบนั้นเกรงว่าพระสนมคงจะไม่มีวันหายโกรธไปชั่วชีวิตแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ"

ยิ่งสั่งกักบริเวณมากเท่าไหร่ เต๋อเฟยก็จะยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น!

“แล้วเจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไรล่ะ?”

โม่จงหรานหรี่ตามองเขา

ซูปิ่งซ่านยิ้มร่า "ข้าน้อยเป็นแค่ขันทีคนหนึ่ง จะไปรู้วิธีง้อผู้หญิงได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ?"

“ข้าแต่งตั้งนางรับใช้ในวังที่มีใจตรงกันให้เจ้าสักคนดีหรือไม่?”

โม่จงหรานเลิกคิ้วจนสูง

ในใจของซูปิ่งซ่านยินดีมีความสุขมาก แต่หน้ากลับแดงเถือกด้วยความเขินอาย "ฝ่าบาท นี่คงไม่ดีหรอกกระมัง? คำสั่งเสียที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนหลงเหลือไว้ กล่าวว่าขันทีในวังไม่อาจ....."

“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าจะตื่นเต้นอะไรมากมาย?”

โม่จงหรานแค่นเสียงเบา ๆ ในลำคอขึ้นมาเสียงหนึ่ง

เขาไพล่สองมือไปไว้ด้านหลัง ค่อย ๆ เดินกลับไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง "เสี่ยวซูจื่อ หรือว่าเจ้าเกิดมีความรักขึ้นมาแล้ว?"

“เกิดต้องตากับนางกำนัลในวังคนไหนเข้าแล้วรึ?”

ซูปิ่งซ่านเขินอาย "ข้าน้อยไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ... "

"ข้าดูแล้วเห็นว่าหลี่หมัวมัวก็ไม่เลวนะ แต่งตั้งนางให้เป็นคู่ตุนาหงันของเจ้าดีหรือไม่?"

ซูปิ่งซ่านที่เมื่อครู่เพิ่งจะขวยเขินเหนียมอายจนหน้าแดงเถือก พริบตาต่อมาก็พลันหน้าซีดเผือดไปทันที "ฝ่าบาท นี่ท่านคงไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่หรอกนะพ่ะย่ะค่ะ?!"

"แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?"

“ฝ่าบาท เรื่องล้อเล่นของท่านเรื่องนี้ ไม่ตลกเลยแม้แต่นิดเดียว!”

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เงาร่างของสองนายบ่าวค่อย ๆ เลือนหายไปในอุทยานหลวง.....

....................................

เช้าตรู่วันต่อมา ในวังก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

เต๋อเฟยถูกฮ่องเต้สั่งกักบริเวณแล้ว!

ฮองเฮาจ้าวถูกสั่งกักบริเวณ เต๋อเฟยก็ถูกสั่งกักบริเวณ..... ตอนนี้คนที่รับผิดชอบดูแลวังหลังคือเต๋อเฟยกับซูเฟย

เมื่อเต๋อเฟยถูกสั่งกักบริเวณ คนที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลัง ก็จะเหลือแค่ซูเฟยคนเดียวแล้ว!

ในตอนเช้า บรรดาสนมนางในทั้งหมด ต่างก็ไปที่ตำหนักของซูเฟยเพื่อน้อมทักทายนาง

เมื่อเห็นบรรดาสาวงามมายืนเบียดเสียดกันอยู่ใต้ตำหนัก ความฟุ้งเฟ้อในเกียรติยศของซูเฟยก็เหินทะยานขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดทันที

เมื่อได้รับความเคารพนบนอบจากเหล่านางสนม นางก็เริ่มดีใจจนตัวลอย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นฮองเฮาอย่างไรอย่างนั้น.....

“พี่สาวน้องสาวทุกท่าน คงจะรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าทำไมเต๋อเฟยถึงถูกฝ่าบาทสั่งกักบริเวณ ข่าวนี้กะทันหันมาก ข้ารู้สึกเห็นใจน้องหญิงเต๋อเฟยมากจริง ๆ”

ซูเฟยยกถ้วยชาขึ้นมา พลางแสดงสีหน้าสงสารเห็นใจ

น้องหญิงเต๋อเฟย?

เมื่อได้ยินการเรียกขานเช่นนี้ บรรดาสนมทั้งหมดต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

นี่ซูเฟยติดปีกเหินบินขึ้นไปถึงชั้นเมฆแล้วรึ?

แต่ก็มีคนฉลาดหัวไว รีบชิงพูดขึ้นทันทีว่า "ด้วยนิสัยใจคอแบบนั้นของเต๋อเฟย การที่ฝ่าบาททรงอดทนนางมาได้กว่ายี่สิบปี ก็นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้วล่ะ!"

“การถูกสั่งกักบริเวณครั้งนี้ ก็คงเพราะไปทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วอีกแล้วแน่ ๆ”

“เกรงว่าครั้งนี้ นางคงไม่มีโอกาสพลิกตัวกลับมาเป็นที่โปรดปรานได้แล้วล่ะ!”

"นั่นสิ ตอนนี้ซูเฟยเป็นผู้มีอำนาจดูแลวังหลังแต่เพียงผู้เดียว เห็น ๆ อยู่ว่าได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคนโปรดของฝ่าบาทแล้ว!"

เมื่อได้รับคำยกย่องสรรเสริญของทุกคน ซูเฟยก็ยิ่งละเมอเพ้อพกมากขึ้นทุกที

ในที่สุดนางก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกของการเป็น "ฮองเฮา" และ "สนมคนโปรด" แล้ว

สะใจ!

มันช่างสะใจซะจริง ๆ เลย!

“เหนียงเหนียง ตอนนี้เต๋อเฟยตกอันดับไปแล้ว ไม่สู้ท่านรีบฉวยโอกาสนี้ทำอะไรสักอย่าง ส่งเต๋อเฟยไปอยู่ตำหนักเย็น! เพื่อป้องกันไม่ให้นางมีโอกาสพลิกตัวกลับมา แล้วขัดแข้งขัดขาท่านได้อีก!”

มีคนให้คำแนะนำ

ซูเฟยหรี่ตา "เรื่องแบบนี้จะพูดพล่อย ๆ ไม่ได้นะ ถ้าฝ่าบาทมาได้ยินเข้า เจ้าคิดว่าตัวเองมีหัวมากพอให้โดนตัดอยู่กี่หัวล่ะ?"

แต่คำพูดประโยคนั้น กลับฝังรากลึกอยู่ภายในใจของนางไปแล้วเรียบร้อย

หลังจากไล่นางสนมทั้งหมดออกไปแล้ว ซูเฟยก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ของคำพูดประโยคนี้

หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ นางก็ตัดสินใจเริ่มลงมือกับหยุนหว่านหนิงก่อน

เต๋อเฟยถูกสั่งกักบริเวณแล้ว จึงนับไม่ได้ว่าเป็นภัยคุกคามอะไร

แต่หยุนหว่านหนิง....

นางคือกำลังเสริมที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งคอยหนุนหลังเต๋อเฟยอยู่ในตอนนี้!

หากไม่กำจัดหยุนหว่านหนิงออกไปก่อนล่ะก็ แค่นางใช้ลิ้นสาลิกาของนางไปพูดพล่ามต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทไม่กี่คำ เพียงไม่นานก็สามารถดึงเต๋อเฟยให้กลับมาเป็นที่โปรดปรานใหม่ได้แล้ว..... จะตัดหญ้าก็ต้องถอนให้ถึงราก!

ซูเฟยจึงวางแผน ด้วยการมุ่งเป้าโจมตีไปที่หยุนหว่านหนิง

นางไม่เคยมีการไปมาหาสู่ใด ๆ กับหยุนหว่านหนิง

ที่ผ่านมานังเด็กน่ารังเกียจนี่ ก็ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกับนางสนมคนไหนในวังหลังมาก่อนเช่นกัน

การที่อยู่ดี ๆ ก็เข้าใกล้นาง ต้องเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นอย่างแน่นอน

ในวันปกติ คนที่มีการติดต่อคบหากับหยุนหว่านหนิง ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน

หนานกงเยว่กับฉินซื่อเสวีย ต่างก็เป็นลูกสะใภ้ของฮองเฮาจ้าว

หนานกงเยว่นิสัยสุภาพอ่อนโยน ใช้งานยาก

ฉินซื่อเสวียมีความแค้นกับหยุนหว่านหนิง นางนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้นางถูกสั่งกักบริเวณ ทั้งยังเปลี่ยนจากพระชายาหยิง ไปเป็นพระชายาสามผู้ต่ำต้อยด้อยค่าไปแล้ว

องค์หญิงห้าโม่โยวโยวเป็นพวกไม่ถามไถ่ ไม่สนใจเรื่องอะไรในโลกภายนอกทั้งสิ้น ส่วนองค์หญิงเก้าโม่เฟยเฟยเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเต๋อเฟย

สองคนนี้ล้วนเอามาใช้ไม่ได้!

หลังจากคิดไปคิดมา ในสมองของซูเฟย ก็คิดถึงคนเพียงคนเดียวเท่านั้น .....

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์