วันที่ 6 เดือน 9 วันเกิดองค์หญิงใหญ่ผิงหยาง
ตามประเพณีของครอบครัวขุนนางแคว้นต้าเซียว ท่านแม่ควรจะพาคุณหนูในจวนไปร่วมงานเลี้ยง
แต่จวนมู่หรงในตอนนี้ท่านป้าเป็นคนคุม เดิมทีมู่หรงจิ่นในฐานะลูกสาวทางสายเลือด อายุเกินหญิงที่ต้องปักปิ่นแล้ว และสามารถไปร่วมงานเลี้ยงคนเดียวได้
มู่หรงจิ่นในสายตาของปุถุชนเป็น “คนไร้ประโยชน์” ตระกูลมู่หรงไม่มีทางให้นางพามู่หรงเหยาและมู่หรงซินไปงานเลี้ยงเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นฮูหยินเฒ่ามู่หรงจึงทำได้เพียงออกหน้าเอง พาหลานสาวและหลานสาวของพี่ชายไปร่วมงานเลี้ยง
ช่วงเย็นรถม้าสองคันจอดอยู่ที่หน้าจวนมู่หรง
รถม้าคันหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า ที่นั่งยาวราว ๆ 5 เมตร กว้างสองเมตร เกี้ยวรถรูปสี่เหลี่ยม ผ้าไหมสีเขียวมรกตทั้งคัน ทั้งสี่มุมประดับแขวนด้วยพู่ระย้า บนมุมทางซ้ายยังแขวนป้ายไม้ของจวนมู่หรง นี่เป็นสัญลักษณ์ของจวนมู่หรง
และข้างหลังรถม้าสีเขียวมรกต เป็นรถม้าสีลูกท้อคันหนึ่ง รูปแบบไม่มีความแตกต่างจากรถม้าสีเขียวมรกตข้างหน้า เพียงแค่ขนาดเล็กกว่ามาก
ในตอนนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ที่หน้าประตูจวนมู่หรง ประการแรกคืออยากจะเห็นใบหน้าที่สวยงามของมู่หรงเหยาที่เป็น “ยอดหญิงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งต้าเซียว” ประการที่สองอยากจะเห็น “คุณหนูไร้ค่า”คนนั้นว่าจะหน้าตาขี้เหร่แปลกประหลาดตามที่เล่ากันหรือไม่
ในตอนที่ชาวบ้านกำลังพูดกันอยู่นั่นเอง มู่หรงเซิ่งก็ปรากฏอยูที่ประตูใหญ่ของจวนมู่หรง เดินไปยังม้าพันธุ์ดีข้างโจวเฉวียน ถีบตัวเองขึ้นบนหลังม้า รอสมาชิกหญิงในครอบครัวขึ้นรถม้า จากนั้นก็ไปงานเลี้ยงด้วยกัน
ชาวบ้านหยุดวิจารณ์ลง ยืดคอยาวมองไปยังสมาชิกหญิงในครอบครัวข้างหลังของมู่หรงเซิ่ง กลัวอย่างมากว่าจะผลาดหัวข้อการสนทนาอะไรไป
“คนไหนคือ ‘ยอดหญิงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งต้าเซียว’ ล่ะ ?”
“คลุมผ้าคลุมหน้ากันหมดเลย มองไม่ออก !”
“คนที่ใส่เสื้อกันหนาวกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลสาบคนนั้นหรือ ?”
“คุณหนูคนที่ใส่เสื้อกันหนาวสีฟ้าน้ำทะเลสาบแต่งตัวเรียบแต่ดูงาม เป็นต้นแบบของหญิงผู้มีความรู้ความสามารถจริง ๆ”
“ดูว่าฮูหยินเฒ่ามู่หรงนั่งรถกับใครก็รู้แล้ว !”
“ใช่แล้ว ๆ ...”
แต่สาวน้อยทั้งสามคนที่ตามหลังฮูหยินเฒ่ามู่หรงในตอนนี้ไม่รู้เลยว่า ตนเองถูกคนวิจารณ์อยู่
“เหยาเอ๋อร์นั่งรถม้าคันเดียวกับข้า จิ่นเอ๋อร์กับซินเอ๋อร์ไปนั่งคันเดียวกันก็แล้วกัน !”
ฮูหยินเฒ่ามู่หรงออกปากพูดแล้ว สาวน้อยทั้งสามก็ต่างขานรับ
มู่หรงจิ่นมองเห็นความลำพองใจในสายตาของมู่หรงเหยา ก็ไม่ได้นึกใส่ใจอะไร กลับหลังเดินไปยังรถม้าสีลูกท้อ เสี่ยวหลิงช่วยประคองมู่หรงจิ่นขึ้นรถม้า
“เฮ้อ ! เจ้าทายผิดแล้ว ดู แม่นางคนที่ใส่เสื้อกันหนาวกระโปรงสีชมพูเป็นคุณหนูรองของจวนมู่หรงต่างหาก !”
“เป็น‘ยอดหญิงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งต้าเซียว’จริง ๆ ข้าวของเครื่องใช่เทียบกับคุณหนูอีกสองคนแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน !”
“เช่นนั้นแม่นางคนที่สวมเสื้อสีฟ้าน้ำทะเลสาบเมื่อครู่ก็คือ‘คุณหนูไร้ค่า’คนนั้นหรือ ?”
“ดูท่าทางของนางท่วงท่ายื้อย่างกรีดกรายต่างก็แสดงให้ทุกคนเห็นถึงบุคลิกอันน่านับถือ ไม่เหมือนกับในข่าวลือที่ขี้ขลาดอ่อนแอนี่ ?”
“ก็แค่ก็เพียงครู่เดียว จะมองอะไรออกกันเล่า ?”
“แต่คุณหนูรองมีความสามารถ ดวงตาหงส์คู่นั้น ช่างดึงดูดคน !”
“เฮ้อ คุณหนูครอบครัวขุนนาง เดินยักย้ายส่ายสะโพก ใส่เงินประดับทอง หากไม่รู้คงนึกว่าเป็นอันดับต้นของซ่องนางโลมที่ไหนสักแห่ง !”
ในรถม้าสีลูกท้อ
“พี่หญิงจิ่น เจ้ายังกังวลใจเรื่องของขวัญอยู่หรือ ? อย่ากังวลไปเลย ! พี่หญิงเหยาจะเอาถุงหอมส่งไปพร้อมกันในนามของเจ้า !”
มู่หรงซินมองดูท่าทางงุนงงของมู่หรงจิ่นที่นั่งอยู่ จึงได้เอ่ยปาก
“เช่นนั้นก็ดี !”
มู่หรงจิ่นจะกังวลใจที่มู่หรงเหยาเตรียมของขวัญให้ตนที่ไหนกัน ? เกรงว่ามู่หรงเหยาคงจะตึงเครียดกับของขวัญชิ้นนี้มากกว่าตนเอง ถึงอย่างไรหากไม่มีของขวัญนี้ ละครงิ้วในคืนนี้ก็คงจะขับร้องไม่ไหว !
นางเพียงแค่กำลังคิดว่า คืนนี้หลังจากที่นางมาแสดงตนอย่างเป็นทางการที่นี่ ในงานจะต้องมีสายตามากมายจับจ้องมาที่ตนเองไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องระมัดระวัง อย่าได้มีพิรุธอะไร
หลายวันมานี้มู่หรงจิ่นได้ให้เถ้าแก่อู๋สืบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของจวนหรงกั๋วกง รู้เขารู้เรา จึงจะสามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของหรงกั๋วกง ประทานโดยฮ่องเต้องค์ก่อนแม่ทัพใหญ่หรงหมิงผู้สถาปนาแคว้นในตอนนั้น ชีวิตการเป็นทหารหรงหมิงชั่วชีวิต ฮ่องเต้องค์ก่อนเกรงใจเป็นอย่างมาก เพราะโรคเรื้อรังกวนใจที่เกิดจากการสู้รบหลายปี วัยชราของหรงหมิง จึงได้ถึงแก่กรรมเร็วกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนไปสองปี
และคนที่สืบต่อตำแหน่งของหรงหมิง ก็คือหรงกั๋วกงหรงรุ่ยในปัจจุบันนี้
ในตอนที่หรงรุ่ยยังเป็นซื่อจื่อ ได้ตามหรงหมิงผู้เป็นพ่อเข้าวังหลายครั้ง เนื่องจากอายุไล่เลี่ยกันกับฮ่องเต้เซียวหยวนและองค์หญิงผิงหยางจึงได้ร่ำเรียน ฝึกวรยุทธด้วยกันบ่อย ๆ
หลังจากเซียวหยวนราชาภิเษก ก็ได้ออกศึกระงับความโกลาหลด้วยตัวเอง หรงรุ่ยจึงได้รับพระราชทานให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ติดตามทำสงครามปราบปราม
ในตอนนั้นองค์หญิงใหญ่ผิงหยางและหรงรุ่ยเป็นคู่รักตั้งแต่เด็ก ทั้งสองต่างรักใคร่ชอบพอกัน เมื่อองค์หญิงใหญ่ผิงหยางรู้ว่าหรงรุ่ยจะต้องไปออกรบ ก็เป็นกังวลใจ และได้ลักลอบปลอมตัวตามไปด้วย
หลังจากชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของการทำสงครามปราบปราม องค์หญิงใหญ่ผิงหยางจึงได้ไปทูลขอฮ่องเต้ให้พระราชทานแต่งงานกับหรงรุ่ย
เพราะยึดตามกฎพระราชสำนัก พระราชบุตรเขยไม่สามารถเข้าร่วมการบ้านการเมืองได้ แต่ทว่าองค์หญิงผิงหยางไม่อยากให้สิ่งนี้ฝังกลบความปรารถนาอันแรงกล้าของหรงรุ่ย จึงได้ทูลขอแต่งงาน
หรือจะพูดอีกอย่างว่า องค์หญิงใหญ่ผิงหยางไม่ต้องการที่ดินศักดินา ไม่ต้องการฐานะองค์หญิงใหญ่ เหมือนกับบุตรสาวของครอบครัวขุนนาง ที่แต่งเข้าจวนหรงกั๋วกง
เป็นธรรมดาที่ฮ่องเต้จะรู้จิตใจที่องค์หญิงใหญ่ผิงหยางมีต่อหรงรุ่ย จึงได้อนุญาตองค์หญิงใหญ่ผิงหยาง เห็นด้วยที่จะปลดศักดินาและตำหนัก ทว่าฮ่องเต้นึกถึงความสัมพันธ์พี่น้องขององค์หญิงใหญ่ผิงหยางกับตนเอง จึงยังคงตำแหน่งองค์หญิงใหญ่ผิงหยางไว้
องค์หญิงใหญ่ผิงหยางมีความรักอันลึกซึ้งต่อหรงรุ่ย ในตอนแรกถูกชาวบ้านเมืองหลวงพูดถึงในทางเรื่องดีงาม สิบเก้าปีผ่านไป องค์หญิงใหญ่ผิงหยางและหรงรุ่ยมีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายก็คือหรงซื่อจื่อ หรงฉี ลูกสาวคือหรงหลิงจวิ้นจู่ หรงหลิง
สิบเก้าปีมานี้ หรงกั๋วกงหรงรุ่ยมีความรอบคอบและความรับผิดชอบสูง งานในราชสำนักก็ไม่น้อย บวกกับแม่ทัพใหญ่เจี่ยงเจิ้นข่ายในตอนนี้ก็เป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แม้กระทั่งนายทหารไม่น้อยก็เทิดทูนเขา
หลายปีมานี้ อำนาจของหรงกั๋วกงสามารถพูดได้ว่าเป็นรองแค่ไท่จื่อกับอ๋องเยี่ยน
ไม่ว่าไท่จื่อกับอ๋องเยี่ยนจะโต้แย้งอย่างไร แต่ก็เป็นบุตรของฮ่องเต้ ต่างก็แซ่เซียวเหมือนกัน ทว่าหรงกั๋วกงแตกต่างออกไป ในตอนนี้เขามีอำนาจ หากมีใจที่อยากก่อกบฏ จะต้องเป็นอันตรายที่แฝงเร้นอย่างมากเป็นแน่ !
แน่นอน ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการคาดเดาของนักยุทธศาสตร์บางคนก็เท่านั้น เมื่อดูจากในขณะนี้ หรงกั๋วกงไม่มีเค้าลางที่จะก่อกบฏ ฮ่องเต้เองก็ไว้วางใจเขาเช่นเคยที่ผ่านมา
“ถึงจวนหรงกั๋วกงแล้ว !”
ในตอนที่กำลังไตร่ตรอง มู่หรงจิ่นก็ได้ยินเสียงของคนเลี้ยงม้า
มู่หรงจิ่นจับมือของเสี่ยวหลิงลงรถม้า เหลือบมองเสี่ยวหลิง เสี่ยวหลิงก็พยักหน้าละจากไป
“สาวใช้นั่นรีบร้อนวิ่งไปไหนกัน ? มารยาทสักนิดก็ไม่มี สาวใช้แบบนั้นข้างกายพี่หญิงจิ่นคงเก็บไว้ไม่ได้ จะอับอายขายหน้า !”
มู่หรงซินที่เพิ่งลงรถเห็นเสี่ยวหลิงทิ้งเจ้านายของตนเองไว้และไม่รู้ว่าวิ่งไปไหน ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย
“คนเรามีความเร่งด่วนสามประการ คงไม่สามารถให้นางลืมตัวเสียกิริยาต่อหน้าสาธารณชน !”
มู่หรงจิ่นยิ้ม และไม่ได้ใส่ใจอะไร
“ฮูหยินเฒ่ารอพวกเราอยู่ พวกเรารีบไปกับเถอะ !”
มู่หรงซินเห็นว่าฮูหยินเฒ่ามู่หรงและมู่หรงเหยาก็ลงรถแล้ว จึงได้เดินไปทันที เกรงว่าหากอยู่กับมู่หรงจิ่นนานอีกนิด ชื่อเสียงของคนก็จะแย่ตามมู่หรงจิ่นไปด้วย
“ไปเถอะ อยู่ในงานเลี้ยง ดูให้มากพูดให้น้อย ประพฤติตัวถูกทำนอนคลองธรรม อย่าได้ทำเรื่องวุ่นวายอะไรให้กับข้า !”
คำพูดนี้ของฮูหยินเฒ่ามู่หรงถึงแม้ว่าจะพูดต่อหน้าทั้งสามคน แต่มู่หรงจิ่นกลับรู้ ว่านี่คือการพูดให้นางฟังเพียงคนเดียว
น่าเสียดาย เกรงว่าจะไม่สามารถทำตามความปรารถนาของฮูหยินเฒ่ามู่หรงได้ เพราะว่ามู่หรงเหยาจะไม่อยู่เป็นสุขแน่นอน !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร