นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 24

สิบวันต่อมา

มู่หรงจิ่นในช่วงสิบวันนี้ นอกจากการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ออกกำลังกาย และกำลังแอบแม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิงกำจัดผื่นลมพิษอยู่ อีกทั้งยังอ่านจดหมายที่เถ้าแก่อู๋ ส่งมาทุกวัน จนค่อนข้างเข้าใจสภาพการณ์ของแคว้นต้าเซียวแล้ว

แคว้นต้าเซียวสถาปนาราชวงศ์ขึ้นเพียงสองรัชสมัย อดีตฮ่องเต้ฮ่องเต้เซียวเหวินเป็นฮ่องเต้ผู้สถาปนาแคว้น เนื่องจากอำนาจทางการเมืองที่ยึดมาได้โดยอาศัยการสู้รบ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนไม่ยอมรับ

พวกกากเดนหรือทหารที่ก่อการกบฏบางกลุ่มของราชวงศ์ก่อนมักจะสร้างความวุ่นวายน้อยใหญ่ขึ้นมา และแคว้นอื่นๆที่อยู่โดยรอบก็จ้องเขมือบตาเป็นมันและมักจะเข้ามารุกรานบ่อยๆเช่นกัน

จนกระทั่งหลังจากเซียวหยวนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ เขาจึงนำทหารไปปราบจลาจลด้วยตนเอง หลังจากที่ปกครองแคว้นผ่านไปอีกยี่สิบปี แคว้นต้าเซียวจึงมีความเจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นปัจจุบัน

ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจล้วนแต่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่น ผู้ชาย

ทั้งสองราชวงศ์รวมกันมีระยะเวลาในการทำสงครามยาวนานถึงสามสิบกว่าปี จำนวนผู้ชายที่อายุเกินสี่สิบปีในแคว้นต้าเซียวนั้น จึงมีน้อยกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า ทำให้หลายครอบครัวมีแต่แม่หม้ายและลูกกำพร้า และกำลังแรงงานไม่เพียงพออีกด้วย!

อีกตัวอย่างคือ เสบียงอาหาร

เนื่องจากการสงครามราชวงศ์ก่อนจึงจำเป็นต้องเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เสบียงอาหารที่เก็บไว้ในบ้านของราษฎรก็ถูกนำไปจ่ายภาษีแล้ว แม้ว่าเซียวหยวนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะยกเว้นการเก็บภาษีจำนวนมากหลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากผู้ชายในครอบครัวของราษฎรไม่ใช่วัยไม้ใกล้ฝั่ง และยังเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปีอีกด้วย

แม้ว่าราษฎรจะมีที่นา แต่กำลังแรงงานสำหรับการไถปรับที่ดินกลับมีอยู่อย่างจำกัด และการเก็บเกี่ยวก็มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน นอกจากราษฎรจะไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแล้ว ก็ไม่สามารถผลิตอาหารที่เกินความจำเป็นออกมาได้เลย ซึ่งอาหารยังคงขาดแคลนอยู่

และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ ยา

ในช่วงสงคราม จำเป็นต้องมียาเป็นจำนวนมาก ช่วงที่ทำสงคราม ยาของร้านขายยาทุกร้านทั่วทั้งแคว้นถูกนำไปสนับสนุนแนวหน้าเกือบทั้งหมด หลังสงครามสิ้นสุดลง ทหารจำนวนมากกลายเป็นคนพิการหรือตกอยู่ในสภาพล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียแล้ว และความต้องการที่มีต่อยารักษาโรคก็มีมากเช่นกัน ยารักษาโรคจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ดังนั้น สำหรับราษฎรในแคว้นต้าเซียวแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เงินทองคำและเครื่องประดับ แต่เป็นอาหารและยา! และผู้ที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก แต่เป็นหมอ!

สำหรับราชสำนักต้าเซียวแล้ว บัณฑิต กสิกร กรรมกรและพ่อค้า ยังจำเป็นต้องเพิ่ม “หมอ”เข้ามาด้วยหนึ่งคน และ“หมอ”นี้ ก็มีฐานะเทียบเท่ากับ“บัณฑิต”ด้วย

นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมแม้ว่ามู่หรงเซิ่งจะเป็นหมอหลวง แต่ฐานะของเขากลับไม่ต่ำต้อยไปกว่าเฉิงเซี่ยงอย่างหลี่โม่และแม่ทัพใหญ่อย่างเจี่ยงเจิ้นข่ายหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารเลย

ยี่สิบปีที่แล้ว เซียวหยวนเพิ่งขึ้นครองราชย์ และเพื่อพิชิตใจทหารและประชาชน เขาจึงนำทัพด้วยตัวเอง ในเวลานั้นมู่หรงเซิ่งยังเป็นเพียงหมอหลวงหนุ่มคนหนึ่ง เขาติดตามพ่อของเขาเข้าไปอยู่ในกองทัพ และมีหน้าที่ดูแลสภาพร่างกายของเซียวหยวน

เซียวหยวนได้รับบาดเจ็บจากลูกศรในสนามรบ ลูกศรมีพิษ ซึ่งเป็นพิษที่หายาก และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นายท่านใหญ่มู่หรงได้เห็นเจอพิษชนิดนี้เช่นกัน เขาจึงไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร แต่มู่หรงเซิ่งกลับใช้วิธีใช้พิษต้านพิษอย่างกล้าหาญ ช่วยชีวิตเซียวหยวนเอาไว้ได้

และนับตั้งแต่ช่วงเวลานั้นเอง เซียวหยวนก็ไว้วางใจเขามากขึ้น แล้วเขาก็ได้กลายมาเป็นหัวหน้าหมอหลวงของเซียวหยวนแล้ว

ในราชสำนัก แม้ว่ามู่หรงเซิ่งจะเป็นหมอหลวงคนหนึ่ง แต่เซียวหยวนกลับมักจะให้เขาฟังเขาว่าราชกิจและออกความเห็นอยู่ข้างๆ ซึ่งมู่หรงเซิ่งก็ไม่ทำให้เซียวหยวนผิดหวังเช่นกัน และวางตัวเป็นกลางในการโต้เถียงกันระหว่างพรรคของไท่จื่อกับอ๋องเยี่ยน เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

ทว่าในตอนที่ทุกคนคิดว่า ตราบใดที่ทายาทสายตรงของตระกูลมู่หรงยังคงอยู่ ความโปรดปรานของตระกูลมู่หรงก็จะไม่มีวันหมดลง ตระกูลมู่หรงก็ให้กำเนิด“คุณหนูใหญ่ผู้ไร้ประโยชน์”เช่นนี้อย่างตัวเองออกมาเสียแล้ว!

พอมู่หรงจิ่นนึกถึงเรื่องเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วยิ้มอีก เป็นเพราะว่าตนเองเป็นคนสมองทึบในการเรียนวิชาแพทย์ จึงทำให้วงศ์ตระกูลต้องอับอาย ดังนั้นจึงถูกละเลยและถูกเหยียดหยามอย่างนั้นหรือ?

หึ! ในเมื่อแคว้นต้าเซียวให้ความสำคัญกับทักษะทางการแพทย์ เช่นนั้นความรู้ทางการแพทย์ที่เป็นระบบที่สุดในศตวรรษที่21ซึ่งอยู่ในหัวสมองของนางก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ให้แสดงความสามารถออกมาแล้ว!

มู่หรงจิ่นมีแผนคร่าวๆอยู่ในใจแล้ว นางจึงเก็บข่าวกรองที่เถ้าแก่อู๋เขียนให้ตัวเองที่อยู่บนโต๊ะเอาไว้

“แม่นมหลี่ เอาชุดผู้ชายออกมาสองชุด วันนี้ข้าจะออกไปข้างนอก!”

มู่หรงจิ่นลุกขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วแม่นมหลี่ก็ไปรับชุดโดยไม่ลังเล

“คุณหนู! ท่านจะปลอมตัวเป็นชายออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ? ถ้านายท่านรู้เข้าจะต้องแย่แน่ๆ!”

เสี่ยวหลิงเตือนมู่หรงจิ่นด้วยความเป็นกังวล

“เจ้าวางใจเถอะ ในจวนมู่หรง ต่อให้ข้าตายไปแล้วสองสามวัน ก็ไม่มีใครล่วงรู้หรอก!”

มู่หรงจิ่นเปล่งเสียงหึที่เย็นชาออกมาหนึ่งครั้ง น้ำเสียงของนางเย็นยะเยือกราวกับฤดูหนาวในเดือนตุลาคม

“คุณหนู! ท่านอย่าได้ดูถูกตนเองมากเกินไปเช่นนี้อย่างเด็ดขาด! ท่านคือคุณหนูใหญ่ของจวนมู่หรง และยังเป็นพระชายาเยี่ยนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานแต่งตั้ง! อีกทั้งนายท่านก็ยังมอบผ้าให้ท่านแล้วเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าในใจของเขายังมีท่านอยู่นะเจ้าคะ!”

เมื่อเสี่ยวหลิงได้ยินมู่หรงจิ่นพูดเช่นนั้น นางก็รีบปลอบใจมู่หรงจิ่นด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

“เสี่ยวหลิง ข้าไม่เศร้าแล้ว! ช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ข้าใส่เสื้อผ้าผู้ชายไม่เป็นน่ะ”

มู่หรงจิ่นคิดว่า เป็นเพราะว่าตัวเองไม่มีความสำคัญในจวนมู่หรง ดังนั้นแม้ว่าร่างกายของตัวเองจะสลับวิญญาณไปแล้ว ก็ไม่มีใครสงสัย ซึ่งสิ่งนี้ช่วยให้นางตัดปัญหาต่างๆออกไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!

ส่วนแม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิง ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ดูแลมู่หรงจิ่นมาสิบกว่าปีแล้ว พวกนางจะไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของมู่หรงจิ่นได้อย่างไรเล่า? เพียงแต่ จิตใจที่จงรักภักดีของพวกนางได้กดความสงสัยของพวกนางเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้นั่นเอง มู่หรงจิ่นจึงสามารถถือว่าแม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิงเป็นคนสนิทได้!

“คุณหนู ท่านสวมชุดนี้แล้วดูดีมากจริงๆเจ้าค่ะ!”

แม่นมหลี่กำลังมองดูมู่หรงจิ่นสวมเสื้อผ้าที่ตัวเองซื้อมา ชุดฉูจูเซินอี้สีเมล็ดข้าวสารกุ๊นริมสีทอง บวกกับเสื้อโปร่งบางสีเหลืองหนึ่งชุด

นี่เป็นชุดที่บรรดาหนุ่มๆในเมืองหลวงชอบสวมใส่กันมากที่สุดในขณะนี้ คิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงจิ่นจะใส่มันได้เหมาะสมเช่นนี้ ดั่งเช่นท่านชายผู้สูงศักดิ์ที่มีกิริยาท่าทางงดงามและรูปร่างสะโอดสะองคนหนึ่ง!

“ใช่เจ้าค่ะ! ถ้าไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้หญิง ข้ายังนึกว่าเป็นท่านชายบ้านไหนจริงๆ!”

เด็กวัยรุ่นอายุสิบหกปีเป็นช่วงวัยที่ยากจะแยกออกว่าเป็นชายหรือหญิง ในขณะที่เสี่ยวหลิงมองดูร่างเล็กๆของมู่หรงจิ่นสวมเสื้อผ้าผู้ชายอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่ได้รู้สึกว่ามันขัดขืนแต่อย่างใด

“จริงหรือ? มองไม่ออกเลยหรือว่าข้าเป็นผู้หญิง?”

ในขณะที่มู่หรงจิ่นกำลังมองการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางที่เกินจริงของพวกนาง นางก็แสดงความสงสัยออกมา

“จริงๆแล้ว ก็ยังพอมองออกเจ้าค่ะ! เพราะว่าไม่มีชายใดสวมผ้าคลุมหน้ากัน!”

เสี่ยวหลิงก้มศีรษะลง และชี้ไปยังผ้าคลุมสีขาวที่อยู่บนใบหน้าของมู่หรงจิ่น

“พูดจาเหลวไหล! แน่นอนว่าผู้ชายก็สวมผ้าคลุมเช่นกัน เพียงแต่สีขาวมันดูงดงามไปหน่อยแค่นั้นเอง คุณหนู! ข้าจะเอาผ้าคลุมหน้าสีเข้มๆสักผืนมาให้ท่านนะเจ้าคะ!”

ในขณะที่แม่นมหลี่พูดอยู่นางก็กำลังจะหมุนตัวไปหยิบผ้าคลุมหน้ามา

“แม่นมหลี่ ไม่ต้องหรอก! ข้าไม่สวมผ้าคลุมหน้าก็ได้!”

ในขณะที่มู่หรงจิ่นพูด นางก็ยกมือขึ้นไปถอดผ้าคลุมหน้าออก

“คุณหนู! ไม่......”

แม่นมหลี่ยังพูดไม่ทันจบ เมื่อเห็นใบหน้าของมู่หรงจิ่นที่ถอดผ้าคลุมออกในเวลานี้ นางก็อ้าปากสูดอากาศเย็นๆเข้าไปเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ

“คุณหนู หน้าของท่าน......”

เมื่อแม่นมหลี่ได้เห็นมู่หรงจิ่นที่ถอดผ้าคลุมหน้าออก นางก็เอามือป้องปากที่เปิดกว้างขึ้นของตัวเองเอาไว้ และพูดอะไรไม่ออกแล้ว

“เป็นไปได้เยี่ยงไร......”

เสี่ยวหลิงชี้ไปที่ใบหน้าของมู่หรงจิ่น และอ้าปากกว้างจนสามารถยัดไข่ห่านหนึ่งฟองเข้าไปได้เลย

ในขณะที่มู่หรงจิ่นกำลังมองดูสีหน้าท่าทางราวกับเห็นผีของหนึ่งผู้อาวุโสหนึ่งเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าอยู่ นางก็อดยิ้มไม่ได้

“แม่นมหลี่ คุณหนู......นางยิ้มแล้ว พอยิ้มขึ้นมาแล้ว......สวยมากเลยเจ้าค่ะ!”

เสี่ยวหลิงจับแขนของแม่นมหลี่เอาไว้ด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจ จะยืนก็ยื่นไม่อยู่ แต่นางกลับยังคงเฝ้ามองมู่หรงจิ่นอยู่อย่างตาไม่กระพริบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร