“เอ๊ะ?”
มู่หรงจิ่นคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง วันนี้นางเพิ่งจะออกไปแค่ครึ่งวัน เรือนจิ่นยู่คึกคักขนาดนี้เชียว
“ข้าจึงทำตามคำสั่งของคุณหนู โดยบอกว่าท่านนอนป่วยอยู่บนเตียง พวกเขาก็เลยจากไปทันที แล้วบอกว่าจะกลับมาอีกวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ!”
แม่นมหลี่นึกถึงท่าทางของมู่หรงเหยากับมู่หรงซินเมื่อได้ยินว่ามู่หรงจิ่น“นอนป่วยอยู่บนเตียง”ขึ้นมาได้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าเหน็บแนม
“คุณหนูรองไม่ได้มาก่อกวนอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในอดีตสาเหตุที่มู่หรงเหยามาที่เรือนจิ่นยู่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะนางถูกกดขี่รังแกจากที่อื่นหรือจากผู้อื่น แล้วจึงมาหามู่หรงจิ่นเพื่อระบายความโกรธที่เรือนจิ่นยู่ และนางจะไม่ยอมเลิกราอย่างเด็ดขาดจนกว่านางจะบรรลุเป้าหมาย ทำไมวันนี้นางถึงพูดง่ายขนาดนี้เสียแล้วล่ะ?
“เกรงว่าแม้แต่จะถามข้าพวกนางก็ไม่ถามเลยด้วยซ้ำว่าคุณหนูป่วยเป็นอะไร จะติดต่อหรือไม่ ปฏิกิริยาแรกของพวกนางก็คือหลบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองป่วย”
มู่หรงจิ่นจะใช้ความคิดเช่นนี้ของพวกนางให้เป็นประโยชน์ จึงปล่อยให้แม่นมหลี่ ใช้ข้ออ้างเช่นนั้นมาไล่พวกนางออกไป
“ยังจะมาพูดว่าคิดได้แล้ว จริงๆแล้วก็แค่เสแสร้งเท่านั้นแหล่ะ!”
เมื่อเสี่ยวหลิงได้ยินคำพูดของมู่หรงจิ่น นางก็ยิ่งแสดงการดูถูกเหยียดหยามต่อความจอมปลอมของมู่หรงเหยากับมู่หรงซินมากขึ้นไปอีก
“ดังคำกล่าวที่ว่า สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก ไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้มองแค่ผิวเผินเท่านั้น”
แน่นอนว่ามู่หรงจิ่นไม่อาจเชื่อคำพูดที่มู่หรงเหยา คิดเองเออเองว่าจะสามารถหลอกลวงตัวเองเหล่านั้นได้
“ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคุณหนูเจ้าค่ะ!”
เมื่อเสี่ยวหลิงเห็นรอยยิ้มจางๆที่อยู่บนใบหน้าของมู่หรงจิ่น นางก็เลื่อมใสศรัทธามู่หรงจิ่นมากขึ้นไปอีกสองสามส่วนแล้ว
“แม่นมหลี่ น้องรองกับน้องหญิงซินมาถึงก่อนหรือหลังจากที่ฝูหรงมาอย่างนั้นหรือ?”
มู่หรงจิ่นดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงถามแม่นมหลี่
“หลังจากที่แม่นางฝูหรงจากไปประมาณหนึ่งเค่อ พวกนางก็มาแล้วเจ้าค่ะ”
แม่นมหลี่ตอบกลับไปขณะที่กำลังหวนนึกถึงระยะเวลาอยู่
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
มู่หรงจิ่นยกมุมปากขึ้นเผยรัศมีที่สวยงามปรากฏออกมา ทำให้แม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิงที่อยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมาแล้ว
“เป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
เสี่ยวหลิงเสริมความกล้าให้ตนเอง แล้วถามมู่หรงจิ่น
“ไม่มีอะไร ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ!”
มู่หรงจิ่นลุกขึ้นแล้วเดินไปในห้อง ทิ้งให้แม่นมหลี่กับเสี่ยวหลิง มองหน้ากันอยู่ที่เดิม
มู่หรงจิ่นที่นอนอยู่บนเตียง กำลังมองดูหลังคาของเตียงไม้ที่สีลอกอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกเย็นสบายแผ่ออกมาจากในมือ พอนางยกมือขึ้นจึงพบว่าตนเองกุมหยกแขวนชิ้นนั้นเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ในค่ำคืนที่ดับไฟแล้ว คาดไม่ถึงว่าหยกแขวนชิ้นนี้จะเรืองแสงจางๆขึ้นมา มู่หรงจิ่นลูบมันสักพักหนึ่ง แล้วพบว่าด้านหลังไม่เกลี้ยงเกลา เมื่อมองจากแสงที่สลัวๆของหยกแขวน มู่หรงจิ่นก็เห็นคำว่า “อี้” คำหนึ่ง
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงชายที่สวมชุดม่วงคนนั้นที่นางพบในวันนี้
หวางจื่ออี้ ที่จริงแล้วเขาคือเทพมาจากที่ใดกันแน่นะ?
ณ ห้องส่วนตัวแบบกลางแจ้งบนชั้นห้าของหอรุ่ยเหอ
ในเวลานั้นเองชายที่สวมชุดหัวฝูสีม่วงที่กำลังดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกับชายหนุ่มอีกสองคนอยู่ในห้องส่วนตัวก็จามขึ้นมาหนึ่งครั้งในทันใด
“......เข็มเงินรึ?”
เมื่อชายที่สวมชุดหัวฝูผ้าดิ้นลายเมฆาสีดำได้ยินเจี่ยงรุ่ยพูดถึงสิ่งที่เขาได้เห็นบนถนนในวันนี้ เขาก็มีความรู้สึกสนใจต่อการช่วยชีวิตเด็กที่หายใจแขม่วๆด้วยเข็มเงินขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นี่จึงทำให้เขานึกถึงผู้หญิงที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยเข็มเงินอยู่ในซอยในคืนนั้นขึ้นมา
“ใช่ ข้ายังไม่เคยเห็นวิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อนเลย เขาไม่จับชีพจรเลย เขาอาศัยเพียงแค่อาการปวดท้องและน้ำลายฟูมปากสองอาการนี้ก็สามารถวินิจฉัยออกมาได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีอาการอาหารเป็นพิษ แล้วจึงฉวยโอกาสดำเนินการฝังเข็มให้เขาในทันที ถ้าเขาไม่ได้พูดเองกับปากตัวเองว่าเขาเป็นพ่อค้า ข้ายังนึกว่าเขาเป็นหมอที่เชี่ยวชาญในทักษะทางการแพทย์เสียอีก!”
เจี่ยงรุ่ยนึกลำดับเหตุการณ์ที่เขาได้เห็นมู่หรงจิ่นช่วยชีวิตพี่ชายของเหลียนอินในตอนกลางวันขึ้นมาได้ ในใจเขาก็ยังมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่มาก
“พี่สามไม่รู้หรือว่าเสิ่นจิ่นผู้นี้เป็นใคร?”
หวางจื่ออี้พยักหน้าไปมา ในใจเขามีความสงสัยอยู่เช่นกัน เขาจึงถามชายที่นั่งอยู่ด้านบน
“เสิ่นจิ่น?”
ชายที่สวมชุดหัวฝูผ้าดิ้นลายเมฆาสีดำนั้น แท้จริงแล้วคือพี่สามของหวางจื่ออี้ หวางจื่อเหยียนนั่นเอง ในขณะที่กำลังแกว่งแก้วสุรากู่ฉือที่อยู่ในมือ เขาก็ค่อยๆพ่นคำว่า “เสิ่นจิ่น” สองคำออกมาจากริมฝีปากบางๆนั้นของเขาอย่างช้าๆ
ในคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวเขาได้ยินเสียงของการครุ่นคิดที่ลุ่มลึกราวกับบ่อน้ำที่เงียบสงัด ซึ่งคิดไม่ถึงว่ามันจะทำให้ผู้คนจมลึกอยู่ในการครุ่นคิดตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
“คิดไม่ถึงเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีคนที่พี่สามไม่รู้จักด้วย!”
ในขณะที่หวางจื่ออี้กำลังมองดูท่าทางที่เหมือนจะคิดอะไรอยู่ของหวางจื่อเหยียนอยู่นั้น เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“พี่จื่อเหยียนไม่ได้อยู่เมืองหลวงมาครึ่งปีแล้ว ก็ย่อมมีตกหล่นบ้างแหล่ะ!”
ในสายตาที่เจี่ยงรุ่ยมองไปทางหวางจื่อเหยียน มีความเคารพเลื่อมใสอยู่ในนั้นด้วยเล็กน้อย
“แต่ว่า เสิ่นจิ่นบอกว่าตัวเองรู้จักกับเถ้าแก่อู๋ของชิงเฟิงสวีไหล และช่วงนี้ชิงเฟิงสวีไหลก็ได้รับความนิยมจากประชาชนในเมืองหลวงเนื่องจากมีการใช้'ระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลา'ด้วย ทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันไหม?”
หวางจื่ออี้จำได้ว่า มู่หรงจิ่นเคยบอกว่าตัวเองกับเถ้าแก่อู๋ของชิงเฟิงสวีไหลมีความสนิทสนมกัน เขาก็เลยพูดออกมาแบบนั้น
“ระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลาเป็นวิธีการที่ไม่เลวจริงๆ ไม่เพียงสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านทั่วไปได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถยกระดับความน่าเชื่อถือและผลประโยชน์ของโรงรับจำนำให้สูงขึ้นได้อีกด้วย จึงสามารถกล่าวได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ถ้าหากเสิ่นจิ่นเป็นคนคิดวิธีนี้ออกมาจริงๆ ข้าก็ชักจะสนใจในตัวเขาขึ้นมานิดหน่อยแล้ว”
ในคำพูดของหวางจื่อเหยียนไม่มีสักคำเดียวที่ไม่ใช่การชื่นชมระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลา
“ข้าขอเดาว่าพี่สามจะต้องอยากรู้จักเขาอย่างแน่นอน ข้าได้ตกลงกับเขาแล้วว่า ถ้าหากเขาไม่ได้รับความสะดวกตรงไหนก็ให้มาหาข้าที่หอรุ่ยเหอ และถ้าหากเขาต้องการมาหาช่องทางทำมาหากินที่เมืองหลวงจริงๆ เขาก็ต้องมาหาข้าอย่างแน่นอน! ถึงเวลานั้น พี่สามก็สามารถพบเขาตัวต่อตัวได้แล้ว!”
หวางจื่ออี้นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่เคยพบคนที่ผ่านมาพบความอยุติธรรมแล้วควักดาบออกมาช่วยเหลืออย่าง เสิ่นจิ่นมานานหลายปีแล้ว มันจึงเป็นความจริงที่ตัวเองอยากจะเป็นเพื่อนกับเขา
เพียงแต่ นอกจากความเห็นแก่ตัวของตัวเองแล้ว เมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาดอย่างเขา สำหรับหวางจื่อเหยียนแล้ว นี่คือคนที่มีความสามารถซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก ถ้าเขาเองก็สามารถใช้ประโยชน์จากหวางจื่อเหยียนได้เช่นกัน ทำไมเขาจะไม่ทำล่ะ?
“อืม รอข้ากลับมาจากแคว้นเป่ยหนิงก่อนก็แล้วกัน!”
หวางจื่อเหยียนยกจอกสุราขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้นดื่มสุราไปหนึ่งจอก
“เช่นนั้นงานเลี้ยงวันเกิดของท่านน้าในครั้งนี้ เจ้าก็ไปไม่ได้แล้วจริงๆน่ะสิ?”
หวางจื่ออี้ถามหวางจื่อเหยียนด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าหวางจื่อเหยียนแค่พูดไปอย่างนั้นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ข้าเดิมพันกับหนิงเฉินเอาไว้แล้ว ยอมเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องทำตามสัญญา!”
หวางจื่อเหยียนรินสุราอีกหนึ่งจอกด้วยตัวเอง
“เห็นได้ชัดว่าพี่สามจงใจแพ้ให้หนิงเฉิน”
หวางจื่ออี้ไม่กล้าพูดออกมาดังๆต่อหน้าหวางจื่อเหยียน เขาจึงพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ได้เชิญว่าที่พระชายาเยี่ยนไปงานเลี้ยงในครั้งนี้แล้ว พี่จื่อเหยียนไม่อยากไปพบพระชายาสักหน่อยหรือ?”
เจี่ยงรุ่ยนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนจะออกไปวันนี้ แม่ของเขาได้รับเทียบเชิญจากองค์หญิงใหญ่แล้ว
“ในอนาคตก็มีโอกาสได้พบเองนั่นแหละ”
หวางจื่อเหยียนกำลังยกจอกสุราลายดอกสีน้ำเงินพื้นสีขาวขึ้นมาชมเล่น จากนั้นมุมปากของเขาก็โค้งขึ้นและเผยรัศมีที่สวยงามออกมา
เมื่อหวางจื่ออี้ได้ยินคำว่าพระชายาเยี่ยนที่เจี่ยงรุ่ยพูด และคิดจะพูดอะไรสักสองสามประโยคออกไป ก็ได้ยินว่ามีคนเคาะประตู
“ท่านอ๋องฉี อู่เสียนเฟยได้ส่งคนไปถ่ายทอดคำพูดถึงจวนอ๋องฉีแล้ว เชิญท่านกลับจวนเถิดขอรับ!”
ผู้ที่มาแท้จริงแล้วคือหัวหน้าองครักษ์ประจำจวนอ๋องฉี เมิ่งฉีนั่นเอง
“เข้าใจแล้ว ข้าจะกลับจวนเดี๋ยวนี้!”
หวางจื่ออี้ โอ้ ไม่สิ! องค์ชายห้าอ๋องฉีเซียวอี้โบกมือด้วยความหงุดหงิด และพูดออกไปด้วยอารมณ์ฮึกเหิม เมื่อเขาถูกขัดจังหวะขึ้นมา
“ท่านน้าคงมีเรื่องอะไรแน่ๆจึงส่งคนมาถ่ายทอดคำพูดในยามค่ำคืนเช่นนี้ เจ้ารีบกลับไปเถอะ!”
พอเจี่ยงรุ่ยได้ยินว่าเป็น “อู่เสียนเฟย” เขาก็รีบบอกให้เซียวอี้กลับไปที่จวนทันที
“อืม พี่ชายรุ่ย พี่สาม เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน!”
เซียวอี้ลุกขึ้นมาทำความเคารพ
หวางจื่อเหยียน ไม่สิ! พี่สามของเซียวอี้ แล้วก็เป็นองค์ชายสามในปัจจุบัน อ๋องเยี่ยนเซียวเหยียนพยักหน้าไปมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร