นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 29

“ท่านชายหวาง ทำไมเป็นเช่นนี้?”

มู่หรงจิ่นมองไปที่หวางจื่ออี้พร้อมกับเลิกคิ้ว รับเหลียนอินสองพี่น้องเอาไว้แล้วมาไว้หน้าให้ตัวเอง และตอนนี้ก็คิดจะมอบหยกแขวนอันล้ำค่าให้ตัวเองเช่นนี้อีกรึ?

“นี่ เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนกันแล้ว อย่าเรียกข้าว่า'ท่านชายหวาง'อีก เรียกข้าว่าพี่จื่ออี้เถอะ!”

หวางจื่ออี้ขมวดคิ้ว หลังจากที่ได้พูดกับมู่หรงจิ่นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้แล้ว เขาจึงคลายคิ้วออกอีกครั้ง

“พี่จื่ออี้ หยกแขวนชิ้นนี้ต้องมีค่ามากแน่ๆ ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรับของขวัญ!”

มู่หรงจิ่นรู้สึกฉงนอยู่ในใจ เมื่อเห็นถึงความจริงใจที่เต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตาของหวางจื่ออี้

“น้องจิ่น นี่ไม่ใช่ของขวัญ เมื่อครู่ข้าเคยพูดไว้ว่า หยกแขวนนี้แลกกับหนึ่งชีวิต จึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่า ในเมื่อน้องจิ่นช่วยชีวิตคน แน่นอนว่าหยกแขวนชิ้นนี้ต้องเป็นของเจ้า มันจึงจะมีความหมายของการมีอยู่ของมัน!”

สิ่งที่หวางจื่ออี้หมายถึงคือเมื่อสักครู่นี้มู่หรงจิ่นถามเขาเรื่องการใช้หยกแขวนช่วยชีวิตคนนั้นคุ้มค่าหรือไม่

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นข้าก็จะทำตามที่ท่านต้องการ!”

ที่แท้เป็นเพราะคำพูดนั้นของตัวเองอย่างนั้นหรือ? มู่หรงจิ่นยิ้มแล้วยิ้มอีก

แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม ในเมื่อเขามีความตั้งใจที่จะคบค้าสมาคมกับตัวเอง และตัวเองก็ต้องการตั้งหลักอยู่ที่เมืองหลวงและยังต้องการเส้นสายอยู่บ้าง ทำไมตัวเองต้องปฏิเสธที่จะคบค้าสมาคมกับเขาด้วยเล่า?

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้มู่หรงจิ่นก็รับหยกแขวนที่อยู่ในมือของหวางจื่ออี้มา แล้วความเย็นของหยกก็แผ่ขยายไปทั่วร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว มันช่างเป็นหยกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!

“จื่ออี้ เจ้า......”

เจี่ยงรุ่ยรู้สึกประหลาดใจไม่หยุดที่ได้เห็นว่าหวางจื่ออี้มอบหยกแขวนให้มู่หรงจิ่น

“ท่านชายเสิ่นคิดแล้วหรือยังว่าจะทำอะไรเพื่อหาเลี้ยงชีพ?”

เมื่อหวางจื่ออี้เห็นท่าทางประหลาดใจของเจี่ยงรุ่ยก็เดาได้แล้วว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงพูดขัดตัดบทเขา

“ยังไม่แน่ชัด ยังต้องใช้เวลาสำรวจและศึกษาอีกสักพัก!”

แน่นอนว่าฉากนี้ไม่รอดพ้นสายตาของมู่หรงจิ่น ดูเหมือนว่าการเดาเมื่อสักครู่นี้ของตัวเองจะถูกต้อง สถานะของหวางจื่ออี้จะต้องสูงกว่าของเจี่ยงรุ่ยอย่างแน่นอน

“เช่นนั้น ท่านชายเสิ่นควรพักอยู่ในเมืองหลวงนานๆเสียแล้ว หากท่านชายเสิ่นอยู่ในเมืองหลวงแล้วไม่ได้รับความสะดวกตรงไหน ก็สามารถนำหยกแขวนไปหาข้าที่หอรุ่ยเหอได้ให้ข้าทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีให้กับเจ้า!”

หวางจื่ออี้ชี้ไปที่ภัตตาคารที่สูงห้าชั้นแห่งนั้นซึ่งอยู่ตรงทางแยก แล้วพูดกับมู่หรงจิ่น

“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณพี่จื่ออี้ล่วงหน้าแล้ว!”

มู่หรงจิ่นได้เห็นหอรุ่ยเหอที่หวางจื่ออี้พูดถึงแล้ว เมื่อสักครู่นี้เถ้าแก่อู๋เคยพูดไว้ว่า นี่คือภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง!

“น้องจิ่นไม่ต้องเกรงใจ! เรากำลังจะไปหอรุ่ยเหอพอดี ถ้าไม่อย่างนั้นน้องจิ่นก็ไปพร้อมกับเราเลยดีหรือไม่?”

หวางจื่ออี้เหลือบมองเจี่ยงรุ่ยแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ถามมู่หรงจิ่นด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณความหวังดีของพี่จื่ออี้มาก เพียงแต่วันนี้ข้ายังมีบางเรื่องที่ต้องทำ คงไปพร้อมกันไม่ได้แล้ว! วันหน้าข้าค่อยไปรบกวนท่านก็แล้วกัน!”

มู่หรงจิ่นคิดว่า หรือว่าหวางจื่ออี้ก็เป็นพ่อค้าด้วย? เขาเป็นเถ้าแก่ของหอรุ่ยเหอหรือ?

แต่ถ้าหวางจื่ออี้เป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง ทำไมถึงทำให้บุตรชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่เจี่ยงให้ความเคารพต่อเขามากขนาดนี้ได้ล่ะ?

แม้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้ก็ตาม แต่กลับเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนเอาไว้มากมาย นอกจากผู้ดีมีตระกูลและขุนนางในราชสำนักแล้ว คนพเนจรที่ท่องไปทั่วยุทธภพก็มีไม่น้อยเช่นกัน หากจะกล่าวว่าเป็นที่ที่มีปลาและมังกรผสมกันก็ไม่เกินจริงเลย

วันนี้หวางจื่ออี้ก็ไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วยเช่นดัน ดูจากเครื่องแต่งกาย คำพูดและการกระทำของเขาเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถวินิจฉัยชี้ขาดได้ว่าเขาเป็นใคร

ช่างเถอะ ในเมื่อเขาตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อตัวเองในฐานะเพื่อน เช่นนั้นต่อไปภายหน้าก็จะต้องมีโอกาสได้ทำความรู้จักเขาอย่างแน่นอน

หวางจื่ออี้รู้สึกเสียใจ แต่จะไปบังคับผู้อื่นก็ไม่ดีเช่นกัน เขาจึงกล่าวคำว่า“ไว้พบกันใหม่”กับมู่หรงจิ่น เมื่อกลุ่มคนที่มามุงดูเห็นว่ามู่หรงจิ่นจากไปแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆแยกย้ายกันไป

“จื่ออี้ เหตุใดเจ้าถึงเอาหยกแขวนที่ท่านปู่มอบให้เจ้าไปมอบให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้เล่า?”

เจี่ยงรุ่ยถามหวางจื่ออี้ด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ

“มอบหยกงามเป็นของขวัญให้วีรบุรุษอย่างไรเล่า!”

ในขณะที่หวางจื่ออี้กำลังมองดูสีหน้าที่สับสนมึนงงของเจี่ยงรุ่ยอยู่นั้น เขาก็ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปข้างหน้า

“ไม่ใช่มอบดาบล้ำค่าให้วีรบุรุษหรอกหรือ?”

เจี่ยงรุ่ยยืนอยู่กับที่ และพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นว่าหวางจื่ออี้เดินไปทางหอรุ่ยเหอแล้ว เขาจึงฟื้นคืนสติกลับมาและตามเขาไป

และในเวลานั้นเอง มู่หรงจิ่นก็หันหน้าไปมองทิศทางที่หวางจื่ออี้และพรรคพวกของเขาเดินจากไป แล้วทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ในเวลานี้มู่หรงจิ่นยังไม่รู้ว่า เรื่องที่ตัวเองช่วยชีวิตคนเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจในวันนี้ ได้แพร่กระจายไปตามถนนใหญ่และตรอกซอกซอยของเมืองหลวงแล้ว แม้แต่ทายาทของตระกูลขุนนางต่างก็รู้เรื่องนี้กันทุกคน

ณ เรือนจิ่นยู่

ในขณะที่แม่นมหลี่กำลังกวาดพื้นอยู่หน้าประตูเรือนอยู่นั้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองดูประตูลานอยู่บ่อยๆ

และในตอนที่นางไม่ทราบว่าได้เงยหน้าเป็นครั้งที่ร้อยแล้วนั้น แม่นมหลี่ก็ได้เห็นร่างของมู่หรงจิ่นกับเสี่ยวหลิงเข้าแล้ว

“คุณหนู! ท่านกลับมาแล้ว!”

พอแม่นมหลี่เห็นมู่หรงจิ่นกลับมา ในที่สุดหัวใจของนางก็ร่วงไปกองอยู่บนพื้นแล้ว นางรีบวางไม้กวาดที่อยู่ในมือ แล้วเดินไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว

“มีเรื่องอะไรหรือไม่?”

มู่หรงจิ่นพูดไปพลาง เดินเข้าไปในห้องไปพลาง

“ฮูหยินเฒ่าเพิ่งสั่งให้คนมาถ่ายทอดคำพูดเจ้าค่ะ”

แม่นมหลี่ตามมู่หรงจิ่นเข้าไปในห้องและ รินชาให้มู่หรงจิ่นหนึ่งจอก หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นมา

“เอ๊ะ? ถ่ายทอดคำพูดอะไร?”

มู่หรงจิ่นนึกขึ้นมาได้ว่า นับตั้งแต่หลังจากที่นางกลายเป็นจุดสนใจในงานเลี้ยงของครอบครัวในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ก็ถูกอานซิ่วอิ๋งชี้ว่านางกำลังสวมเสื้อผ้าเก่าๆอยู่ อาหารการกินในเรือนจิ่นยู่แห่งนี้ของนางก็ดีขึ้นมาก แม้แต่ประตูที่ลมพัดจนพังบานนั้นภายในห้องก็เปลี่ยนแล้วเช่นกัน

คิดว่าจะต้องเป็นเพราะฮูหยินเฒ่ามู่หรงได้ไปพูดกับหลิวเหม่ยน่าแล้วสองสามประโยค หลิวเหม่ยน่าจึงเปลี่ยนประตูให้ตัวเองได้ และนางจึงไม่กล้าอมค่าใช้จ่ายของตัวเองอย่างโจ่งแจ้งเกินไปอีก

“ผู้ที่มาถ่ายทอดคำพูดคือแม่นางของฮูหยินเฒ่ามู่หรงจากเรือนไม้จันทร์ ข้าน้อยบอกว่าคุณหนูรู้สึกไม่สบายและกำลังพักผ่อน ข้าน้อยสามารถนำคำพูดไปบอกคุณหนูได้ และแม่นางฝูหรงก็ไม่ได้ถามอะไรมาก นางแค่อธิบายจุดประสงค์ที่นางมาให้ฟังเท่านั้นเจ้าค่ะ”

แม่นมหลี่คิดไปพลาง และบอกเล่าสถานการณ์ให้มู่หรงจิ่นฟังโดยละเอียดไปพลาง

“แม่นางฝูหรงบอกว่า ฮูหยินเฒ่าได้รับเทียบเชิญจากจวนหรงกั๋วกงในตอนเช้า อีกแปดวัน ก็จะเป็นวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ผิงหยาง ในเทียบเชิญนั้นองค์หญิงใหญ่ผิงหยางได้ระบุว่าต้องการให้คุณหนูเข้าร่วม”

ในขณะที่แม่นมหลี่กำลังพูดอยู่นั้นก็หยิบเทียบเชิญที่ฝูหรงนำมาออกมามอบให้มู่หรงจิ่น

“องค์หญิงใหญ่ผิงหยางรึ?”

มู่หรงจิ่นดูเทียบเชิญคร่าวๆหนึ่งรอบ ความหมายบนเทียบเชิญน่าจะหมายความว่า: ปีนี้มู่หรงจิ่นได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นพระชายาเยี่ยน ในฐานะน้าหญิงและสะใภ้ของหลานชายในอนาคต ตามเหตุผลก็ควรทำความคุ้นเคยกันสักหน่อยก่อน

“คุณหนู! ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็ทราบดีว่า ท่านอ๋องเยี่ยนสูญเสียพระมารดาไปตั้งแต่ทรงพระเยาว์ องค์หญิงใหญ่ผิงหยางจึงปฏิบัติต่อท่านอ๋องเยี่ยนเหมือนโอรสแท้ๆ ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ผิงหยางเชิญท่าน นี่ก็คือการแสดงการยอมรับในตัวท่านอย่างหนึ่งเช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

แม่นมหลี่คิดว่า ถ้าหากมู่หรงจิ่นได้รับการยอมรับจากองค์หญิงใหญ่ผิงหยาง เช่นนั้นต่อจากนี้ไปหากนางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องเยี่ยน ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋องเยี่ยนหรือข้ารับใช้ของเขา จะสามารถเคารพมู่หรงจิ่นได้ไม่มากก็น้อย

“ยอมรับหรือ? นางอยากดูความตลกขบขันของข้ากระมัง?”

มู่หรงจิ่นนึกถึงตอนที่อยู่บนถนนวันนี้ขึ้นมาได้ นางได้ยินชาวบ้านบางคนในเมืองหลวงกำลังพูดคุยกันว่าองค์หญิงใหญ่ผิงหยางผู้นี้มีความไม่พอใจที่ใหญ่หลวงมากต่อตัวเอง!

“คุณหนู?”

แม่นมหลี่มองมู่หรงจิ่นด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง

“ประชาชนในเมืองหลวงต่างก็กำลังพูดกันว่า องค์หญิงใหญ่ผิงหยางบอกว่าข้าไม่เพียงหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังหัวทึบเรื่องเรียนวิชาแพทย์อีกด้วย ช่างเป็น 'คุณหนูใหญ่ผู้ไร้ประโยชน์' สมคำเล่าลือจริงๆ จะคู่ควรกับอ๋องเยี่ยนหลานชายของนางได้อย่างไรกัน?

ตอนอายุสิบหกปีอ๋องเยี่ยนก็ยกทัพจับศึกบุกใต้ตะลุยเหนือ และสร้างความดีความชอบในการสู้รบเอาไว้มากมาย นอกจากไท่จื่อแล้วเขาก็เป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด เขาจะมาแต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์ที่อ่อนแอและไร้ความสามารถคนหนึ่งได้อย่างไรเล่า?”

มู่หรงจิ่นพูดบทสนทนาของประชาชนในเมืองหลวงที่นางเคยได้ยินอยู่ที่แผงขายชาออกมา

“คุณหนู! พวกเราทุกคนรู้ว่า ท่านไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย! คนพวกนั้นช่างพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยเสียจริงๆ!”

แม่นมหลี่ยังไม่รู้ว่า องค์หญิงใหญ่ผิงหยางปฏิบัติต่อมู่หรงจิ่นเช่นนี้จริงๆ และในขณะนี้นางรู้สึกโมโหมาก

“นั่นน่ะสิเจ้าคะ คุณหนู ตอนนี้รอยประทับที่อยู่บนใบหน้าของท่านก็ได้หายไปแล้ว และท่านก็ยังรู้ทักษะทางการแพทย์อีกด้วย!”

ก่อนหน้านี้ พอเสี่ยวหลิงได้ยินมู่หรงจิ่นบอกว่านางลงมือปรุงยารักษารอยประทับด้วยตัวเอง นางก็รู้สึกตกใจมาก แต่วันนี้ พอนางได้เห็นด้วยตาตัวเองว่ามู่หรงจิ่นใช้เพียงเข็มสองสามเล่มก็สามารถทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ นางก็เลื่อมใสศรัทธามู่หรงจิ่นขึ้นมาในทันที!

“เช่นนั้นคุณหนูยังจะไปงานเลี้ยงอยู่ไหมเจ้าคะ?”

แม่นมหลี่คิดว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่ผิงหยางไม่ชอบมู่หรงจิ่น กลับยังเชิญมู่หรงจิ่นไปงานวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ผิงหยาง นี่เห็นได้ชัดว่านางต้องการให้มู่หรงจิ่นรู้สึกลำบากใจและอับอายขายหน้าในงานเลี้ยงวันเกิดไม่ใช่หรือ?

“แน่นอนว่าข้าจะไป อย่าว่าแต่ฐานะองค์ใหญ่แห่งผิงหยางเลย ตอนนี้ข้าก็เป็นว่าที่พระชายาเยี่ยนในนามเช่นกัน จะไม่ไปได้หรือ?”

มู่หรงจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าองค์หญิงใหญ่ผิงหยางจะรู้สึกไม่พอใจต่องานสมรสพระราชทานของฮ่องเต้ แต่นางก็ไม่กล้าตั้งข้อสงสัยในพระราชโองการของฮ่องเต้ และยิ่งไม่อาจใช้วิธีการการบางอย่างมาจัดการกับตัวเองได้

จวนหรงกั๋วกงมีอำนาจไม่น้อยในราชสำนัก เป็นต้นไม้ใหญ่ย่อมต้องต้านลม ทำให้ฮ่องเต้ทรงรู้สึกหวาดกลัวเสียแล้ว ดังนั้นเรื่องที่ขัดต่ออำนาจของฮ่องเต้อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่ผิงหยางจึงไม่อาจทำได้ อย่างมากก็แค่ให้นางได้แสดงอำนาจต่อหน้าตระกูลขุนนางตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงแห่งนี้สักครั้งเท่านั้นก็พอแล้ว

แม่นมหลี่พยักหน้าไปมา สิ่งที่มู่หรงจิ่นพูดนั้นมีเหตุผล จากนั้นนางก็เก็บเทียบเชิญเอาไว้ และนึกขึ้นมาได้ในทันทีว่า:

“แล้วก็ คุณหนูรองกับคุณหนูญาติผู้น้องก็มาที่นี่ด้วยเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร