“เป็นไปได้อย่างไร!”
เมื่อพนักงานของจินหลิงถังเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ป่วยและสติเลอะเลือนไปเมื่อสักครู่ได้ฟื้นขึ้นมาแล้วในขณะนี้อย่างคาดไม่ถึง เขาจึงกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปความประหลาดใจ
“เด็กหนุ่มคนนี้แค่พลาดไปกินอาหารที่เสียแล้วเข้าไป ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ ขอเพียงแค่เขาคายอาหารที่เขากินผิดออกมา ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว!”
มู่หรงจิ่นดึงเข็มเงินที่แทงเข้าไปในร่างกายของเด็กหนุ่มออกมาทีละเล่มๆ วางเอาไว้บนมือของเสี่ยวหลิง แล้วอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยรอยยิ้ม
“เก่งมากจริงๆ! เพียงแค่สองสามเข็มเท่านั้นก็ช่วยชีวิตเด็กหนุ่มที่หายใจแขม่วๆคนนี้ได้แล้ว!”
“ใช่! ไม่ได้จับแม้กระทั่งชีพจรก็รู้อาการของเด็กหนุ่มคนนี้ หรือว่าท่านชายผู้นี้จะเป็นหมอจากโรงหมอที่ไหน!”
“ไม่ถูกต้อง ท่านชายผู้นี้แต่งกายด้วยชุดหัวฝูทั้งตัว เขาจะเป็นหมอได้อย่างไรล่ะ!”
“นั่นน่ะสิ ถ้ามีหมอที่หล่อเหลาขนาดนี้ พวกเราจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?”
“......”
เมื่อกลุ่มคนเห็นว่ามู่หรงจิ่นช่วยชีวิตเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็เริ่มทยอยกันพูดถึงมู่หรงจิ่นขึ้นมา
“ท่านชายผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อาหารเป็นพิษ?”
ชายที่สวมชุดหัวฝูสีม่วงถอนสายตาประหลาดใจกลับมา แล้วถามมู่หรงจิ่น
“เด็กหนุ่มผู้นี้ชักเกร็งในช่วงแรก ดูจากตำแหน่งที่เขาเอามือกุมเอาไว้ด้วยจิตใต้สำนึกแล้ว คือหน้าท้อง อาการชักเกิดขึ้นเนื่องจากอาการปวดท้อง และต่อมาก็น้ำลายฟูมปาก เมื่อนำสองอาการนี้มารวมกันแล้ว ข้าจึงวินิจฉัยได้ว่าเด็กคนนี้อาหารเป็นพิษเสียแล้ว!”
แม้ว่ามู่หรงจิ่นจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงอาศัยเพียงอาการสองอาการนี้มาวินิจฉัยโรคมันสุกเอาเผากินเกินไปแล้ว เหตุผลที่นางมั่นใจว่าเป็นอาการอาหารเป็นพิษและดำเนินการช่วยชีวิตด้วยวิธีรักษาอาการอาหารเป็นพิษเช่นนั้น เป็นเพราะประสบการณ์และสัญชาตญาณของนาง
ในศตวรรษที่21 นางคือ “หมอเทวดาสาวสวย” มีประสบการณ์ในการรักษาโรคมากมาย ถ้าหากวินิจฉัยอาการนี้ไม่ออก นางยังจะสมควรได้รับสมญานามว่า“หมอเทวดาสาวสวย”อยู่อีกหรือไม่?
“ท่านชายสังเกตอาการอย่างละเอียด และได้ช่วยชีวิตเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้แล้ว เมื่อสักครู่ข้ามุทะลุเกินไป ท่านชายได้โปรดอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ!”
ในขณะที่ชายหนุ่มชุดหัวฝูสีเขียวเข้มกำลังมองดูท่าทางที่แม่นางน้อยคนนั้นกำลังกอดเด็กหนุ่มร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นสายอยู่นั้น เขาก็นึกถึงพฤติกรรมที่ไร้มารยาทของตัวเองเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาได้ จึงกล่าวคำขอโทษไปยังมู่หรงจิ่น
“เมื่อครู่ท่านชายมีจิตใจร้อนที่จะช่วยชีวิตคน ข้าเข้าใจได้! ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็ต้องขอตัวลาเช่นกัน!”
มู่หรงจิ่นกำลังคิดว่าเวลาที่ตัวเองออกมาข้างนอกนั้นไม่ใช่เวลาเพียงสั้นๆแล้ว ไม่อาจหน่วงเหนี่ยวต่อไปได้อีก นางจึงหันหลังกลับและกำลังจะจากไป
“ท่านชายท่านนี้โปรดรอก่อน! เมื่อครู่ข้าเคยพูดไว้ว่า ขอเพียงแค่ช่วยพี่ชายข้าได้แล้ว ข้าสามารถเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านได้ ท่านชายได้โปรดรับเหลียนอินไว้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
แม่นางน้อยคุกเข่าลงต่อหน้ามู่หรงจิ่นในทันที พร้อมกับหันหน้ากลับไปมองพี่ชายที่ถึงแม้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาแล้วแต่กลับยังคงอ่อนแออยู่ ภายในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอาลัย
“เจ้าชื่อเหลียนอินรึ?”
มู่หรงจิ่นคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางน้อยคนนี้จะเป็นคนรักษาคำพูด
เมื่อมู่หรงจิ่นเห็นแม่นางน้อยพยักหน้าไปมา นางก็พูดต่อไปว่า:
“เหลียนอิน ที่ข้าช่วยชีวิตพี่ชายของเจ้าเป็นเพราะผ่านมาเห็นความอยุติธรรม เจ้าไม่ต้องเป็นวัวหรือม้าให้ข้าหรอก ร่างกายของพี่ชายเจ้ายังอ่อนแอ และต้องการให้เจ้ามาดูแลเขา”
มู่หรงจิ่นรู้ว่าเหลียนอินเป็นห่วงพี่ชาย แต่นางก็ไม่อยากผิดคำพูด ภายใต้การใช้ดุลพินิจนางยังคงรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ความประพฤติเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น… ข้าบังอาจถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านชายได้หรือไม่? บ้านช่องอยู่ที่ใด หลังจากที่ข้าดูแลพี่ชายจนหายดีแล้ว ข้าจะไปหาท่านชายเอง!”
เหลียนอินกัดริมฝีปากไปมา สิ่งที่มู่หรงจิ่นพูดนั้นก็มีเหตุผล นางเป็นห่วงพี่ชายของนางจริงๆ
“ช่างเถอะ ข้าแซ่เสิ่น ส่วนบ้านน่ะ ถ้าเจ้าต้องการพบข้า สามารถไปหาเถ้าแก่อู๋ที่ชิงเฟิงสวีไหลได้”
พอมู่หรงจิ่นเห็นสีหน้าท่าทางที่มุ่งมั่นของเหลียนอินแล้ว ก็รู้เช่นกันว่านางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องมาตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีนี้อย่างแน่นอน พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
“ตกลง! เหลียนอินจำไว้แล้ว! ขอบพระคุณบุญคุณที่ท่านชายเสิ่นได้ช่วยชีวิตเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!”
เหลียนอินก้มศีรษะคำนับมู่หรงจิ่นสามครั้งในขณะที่กำลังคุกเข่าอยู่ ทว่านางก็เป็นเด็กที่ฉลาดและปราดเปรียวคนหนึ่งเช่นกัน
“ท่านชายเสิ่นผู้นี้คือผู้ใดกัน? เขาทั้งใจดีมีเมตตาและไม่ร้องขอสิ่งใดตอบแทน ช่างเป็นคนดีจริงๆเลย!”
“ ไม่รู้สิ ตระกูลขุนนางแซ่เสิ่นในเมืองหลวงแห่งนี้มีไม่มาก ไม่เคยเห็นท่านชายเสิ่นผู้นี้มาก่อนเลย!”
“เมื่อครู่เขาให้แม่นางน้อยไปหาเขาที่ชิงเฟิงสวีไหล หรือว่าเขาจะเป็นเถ้าแก่ของชิงเฟิงสวีไหล?”
“ช่วงนี้ชิงเฟิงสวีไหลคึกคักมากเพราะระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลา...... “
บรรดาคนในฝูงชนเริ่มพูดคุยกันขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“ท่านชายเสิ่นอาศัยอยู่ที่ชิงเฟิงสวีไหลหรือ?”
แน่นอนว่าชายที่สวมชุดหัวฝูสีม่วงก็ได้ยินความคิดเห็นของคนในฝูงชนเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมาเลย และถามขึ้นมาในขณะที่กำลังมองมู่หรงจิ่น
“ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่คนในพื้นที่ ข้ามาที่เมืองหลวงเป็นครั้งแรก เพียงแต่ข้าเพิ่งเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก และยังไม่มีที่พักค้างแรมในเมืองหลวง ข้ามีความสนิทสนมกับเถ้าแก่อู๋ของชิงเฟิงสวีไหลอยู่เล็กน้อย ก็เลยให้เหลียนอินไปหาข้าที่นั่นน่ะ!”
ในขณะที่มู่หรงจิ่นกำลังมองดูท่าทางที่เหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างของชายที่สวมชุดหัวฝูสีม่วงอยู่ ก็คิดว่าเขาจะต้องสงสัยในสถานะของตนเองอย่างแน่นอน
สถานะของนางในตอนนี้คือเสิ่นจิ่น และในเวลานี้นางแต่งกายเป็นผู้ชาย แม้ว่าพวกเขาจะสืบหามูลเหตุขึ้นมาจริงๆ แล้วพบว่าชิงเฟิงสวีไหลเป็นสินเดิมของเสิ่นหว่านชิง พวกเขาก็อาจจะคิดได้ว่าตัวเองนางเป็นหลานชายของเสิ่นหว่านชิงและไม่คิดว่าตัวเองคือบุตรีของเสิ่นหว่านชิง คุณหนูใหญ่ของจวนมู่หรง มู่หรงจิ่น!
“เขารู้จักกับเถ้าแก่อู๋ของชิงเฟิงสวีไหล เช่นนั้นท่านชายเสิ่นมาที่เมืองหลวงเพื่อทำธุรกิจหรือ?”
ชายที่สวมชุดสีม่วงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเมืองหลวงไม่มีตระกูลขุนนางตระกูลใดแซ่เสิ่นเลย ระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลาที่ดำเนินการในช่วงนี้ของชิงเฟิงสวีไหล ได้รับความนิยมจากประชาชนในเมืองหลวง หรือว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าปีที่อยู่เบื้องหน้าเขาคนนี้?
“ถูกต้อง! ข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อหาช่องทางทำมาหากินจริงๆ!”
ในตอนนั้นเองมู่หรงจิ่นจึงได้ตระหนักว่าแม้ว่าชายที่สวมชุดสีม่วงจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เขากลับตอบคำถามได้ตรงประเด็นทุกคำถาม และในท่วงท่าเยื้องย่างของเขามีปราณของชนชั้นสูงแผ่ออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว คิดว่าสถานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ในเมื่อท่านชายเสิ่นไม่สะดวก หากไม่ถือสาอะไร ข้าสามารถรับเหลียนอินกับพี่ชายของนางเอาไว้ได้!”
ชายที่สวมชุดหัวฝูสีม่วงตีหน้าขรึม และมองมู่หรงจิ่นด้วยดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่ง
“ท่านชายช่างมีเมตตายิ่งนัก ถ้าสามารถรับพวกเขาเอาไว้ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีงามเรื่องหนึ่ง! ไม่ทราบว่าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร?”
มู่หรงจิ่นกำลังคิดว่าเมื่อสักครู่นี้ เพื่อช่วยชีวิตเด็กชายแล้ว ชายที่สวมชุดหัวฝูสีม่วงผู้นี้แม้กระทั่งหยกแขวนซึ่งมีความหมายต่อตนเองมากก็สามารถจำนองได้ คิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่เห็นว่ามีสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมอยู่เป็นไม่ได้คนหนึ่งอย่างแน่นอน
“ท่านชายเสิ่น ท่านนี้คือท่านชายหวางหวางจื่ออี้ ข้าน้อยเจี่ยงรุ่ยขอรับ”
เมื่อชายที่สวมชุดหัวฝูสีเขียวเข้มได้ยินคำพูดของมู่หรงจิ่น เขาก็แนะนำชายที่สวมชุดสีม่วงก่อน หลังจากนั้นจึงแนะนำตัวเอง
ชายที่สวมชุดหัวฝูสีเขียวเข้มอายุมากกว่าชายที่สวมชุดสีม่วงอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับแนะนำชายที่สวมชุดสีม่วงก่อน นี่ก็แสดงว่า ตำแหน่งของชายที่สวมชุดสีม่วงอยู่สูงกว่าเขา
“ท่านชายหวาง ท่านชายเจี่ยง! ยินดีที่ได้พบ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รบกวนท่านชายหวางกับท่านชายเจี่ยงรับเหลียนอินกับพี่ชายของนางเอาไว้ด้วยนะขอรับ!”
หลังจากที่มู่หรงจิ่นได้พินิจพิเคราะห์พวกเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็ทำความเคารพพวกเขาไปหนึ่งครั้ง ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นการทำความรู้จักกันแล้ว
“อันที่จริงคนที่ช่วยชีวิตเด็กหนุ่มเอาไว้คือท่านชายเสิ่น ข้าก็แค่อยากเป็นสหายกับท่านชายเสิ่น จึงไว้หน้าให้เจ้าเท่านั้นเอง!”
หวางจื่ออี้เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง แม้แต่คำพูดที่แสดงถึงความเกรงใจเขาก็คร้านที่จะพูด
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้เป็นเพื่อนกับท่านชายหวาง! ข้าแซ่เสิ่น นามเดียวว่าจิ่น”
มู่หรงจิ่นคิดถึงข่าวกรองที่เถ้าแก่อู๋เขียนเอาไว้ในจดหมายก่อนหน้านี้สักครู่ ตระกูลขุนนางที่แซ่หวางในเมืองหลวงมีไม่น้อยเลย แต่ตระกูลที่มีแซ่เจี่ยงมีเพียงตระกูลเจี่ยงของแม่ทัพใหญ่เจี่ยงเจิ้นข่ายในขณะนี้ คิดว่าเจี่ยงรุ่ยก็คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเจี่ยงเจิ้นข่ายอย่างแน่นอน
แต่หวางจื่ออี้ผู้นี้เป็นผู้ใดกันเล่า? เมื่อสักครู่นี้เจี่ยงรุ่ยได้แนะนำหวางจื่ออี้ก่อน แล้วจึงแนะนำตัวเอง แต่ในบรรดาตระกูลขุนนางในเมืองหลวงแห่งนี้ นอกจากจวนเฉิงเซี่ยงกับจวนมู่หรงแล้ว ก็ไม่มีตระกูลขุนนางแซ่หวางตระกูลใดที่มีตำแหน่งสูงกว่าตระกูลเจี่ยงเลย
“เสิ่นจิ่นรึ?”
หวางจื่ออี้เรียกชื่อในสถานะผู้ชายของมู่หรงจิ่นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่องอาจห้าวหาญของชายชาตรีว่า:
“น้องจิ่น หยกแขวนชิ้นนี้ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ!”
หวางจื่ออี้พูดพร้อมกับก็ยื่นหยกแขวนเข้าไปใกล้ๆมู่หรงจิ่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร