นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 21

วันรุ่งขึ้น ณ เรือนจิ่นยู่

มู่หรงจิ่นนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลม และสิ่งที่นางกำลังถืออยู่ในมือนั้นคือจดหมายตอบกลับที่แม่นมหลี่ส่งให้เถ้าแก่อู๋ชิงเฟิงสวีไหล

“คุณหนู? เถ้าแก่อู๋ว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

แม่นมหลี่เติมชาให้มู่หรงจิ่น แล้วถามขณะกำลังมองดูสีหน้าและท่าทางที่เคร่งขรึมจริงจังของมู่หรงจิ่น

“เถ้าแก่อู๋อยากจะพบกับข้าสักครั้ง!”

มู่หรงจิ่นพับจดหมาย และใส่จดหมายกลับเข้าไปในซองจดหมายอีกครั้ง หลังจากนั้นก็วางซองจดหมายลง แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมา ในขณะที่กำลังมองดูน้ำชาสีน้ำตาลอมเหลืองที่อยู่ข้างใน นางก็คิดถึงเรื่องที่เถ้าแก่อู๋กล่าวถึงในจดหมายขึ้นมาด้วย

“เช่นนั้นความหมายของคุณหนูคือ?”

ในขณะที่แม่นมหลี่กำลังเฝ้ามองมู่หรงจิ่นซึ่งนั่งตัวตรงและเฝ้าจ้องมองชาที่อยู่ในมืออยู่นั้นก็ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมา นางมองไม่ออกเลยว่ามู่หรงจิ่นกำลังคิดอะไรอยู่

“คือควรไปพบกันสักครั้งแล้วน่ะสิ! นับตั้งแต่ท่านแม่ของข้าแต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลมู่หรงบรรดาผู้จัดการและเถ้าแก่ก็ไม่เคยพบท่านแม่อีกเลย อีกทั้งในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมานี้ ข้าก็ไม่เคยติดต่อพวกเขาเลยเช่นกัน บัดนี้ข้าอยากจะจัดการดูแลกิจการเหล่านี้ ก็เลยจำเป็นต้องออกหน้า! “

มู่หรงจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจซื่อสัตย์และจงรักภักดีอยู่จริงๆ มิฉะนั้นในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาสามารถยักยอกทรัพย์สินไปเป็นของตัวเองหรือปฏิเสธที่จะดูแลและจากไปตั้งนานแล้วก็ได้

แต่พวกเขากลับไม่ทำ! ในทางตรงกันข้ามกลับมีระมัดระวังและมีจิตใจที่รับผิดชอบสูง บำรุงรักษาและจัดการดูแลกิจการทุกแห่งด้วยความตั้งใจ ด้วยเหตุนี้เอง มู่หรงจิ่นจึงควรไปแสดงความขอบคุณต่อหน้าเสิ่นหว่านชิงแทน”มู่หรงจิ่น”ที่เสียชีวิตไปแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้น หากตอนนี้นางต้องการจะต่อสู้กับหลิวเหม่ยน่าและมู่หรงเหยา และต้องการจะหลุดพ้นออกมาจากจวนมู่หรง นางยังต้องการความช่วยเหลือจากเถ้าแก่และผู้จัดการของกิจการเหล่านี้จึงจะทำได้!

“แต่ว่า ตอนนี้คุณหนูกำลังถูกกักบริเวณอยู่ ไม่สามารถออกนอกจวนตามอำเภอใจได้นะเจ้าคะ!”

แม้ว่าแม่นมหลี่จะรู้ว่าสิ่งที่มู่หรงจิ่นพูดนั้นไม่มีเหตุผลเลยก็ตาม แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่จวนมู่หรงเลย แม้แต่เรือนจิ่นยู่นางก็ไม่สามารถออกไปได้เลย!

“แน่นอนว่าเราไม่สามารถออกจากจวนอย่างเปิดเผยได้ แต่ออกจากจวนอย่างเงียบๆ ยังสามารถทำได้นะ!”

มู่หรงจิ่นนึกขึ้นมาได้ว่าแม้ว่าจวนมู่หรงจะมีองครักษ์รักษาจวนอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวดเฉกเช่นจวนของขุนนางในราชสำนักขนาดนั้น ขอเพียงแค่ปลอมตัวเล็กน้อย อยากจะตบตาเพื่อให้ผ่านด่านไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก!

“ความหมายของคุณหนูคือ......”

แม่นมหลี่คิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงจิ่นจะอยากแอบหนีออกไปจากจวนมู่หรงอย่างเงียบๆจริงๆ ก่อนหน้านี้นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่ามู่หรงจิ่นจะสามารถทำเรื่องที่ขัดต่อคำสั่งของมู่หรงเซิ่งเช่นนี้ออกมาได้!

แต่มู่หรงจิ่นในตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมไปเสียแล้ว! นางไม่เพียงแต่ใจกล้าและละเอียดรอบคอบเท่านั้น แต่นางยังมีระเบียบและมีเหตุผลในการทำเรื่องต่างๆ มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ซึ่งแตกต่างจากมู่หรงจิ่นคนก่อนราวกับเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง!

“ข้าจะตอบจดหมายกลับไปให้เถ้าแก่อู๋ตอนนี้เลย เจ้าช่วยข้าเอาจดหมายนี้ไปส่งให้เขาที และบอกเขาว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปพบเขาที่สาขาย่อยของชิงเฟิงสวีไหล!”

มู่หรงจิ่นพูดพร้อมกับพลิกพู่กันขึ้นด้วยมือซ้ายและเขียนจดหมาย

“เจ้าค่ะ!”

แม่นมหลี่เก็บจดหมายให้เรียบร้อย แล้วรีบร้อนออกไปจากเรือนจิ่นยู่

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น

มู่หรงจิ่นกำลังสวมเสื้อผ้าของเสี่ยวหลิงอยู่ ซึ่งก็คือชุดกระโปรงหรูสาบเสื้อตรงสีชมพูดอกท้อ และสวมผ้าคลุมหน้า ก้มหน้าเดินตามแม่นมหลี่ไป

มู่หรงจิ่นเฝ้ามองฝีเท้าที่เร่งรีบของแม่นมหลี่ที่เดินอยู่ข้างหน้า นางได้เผยความกังวลใจของนางในขณะนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่พอให้อภัยได้

แม่นมหลี่มีท่าทางเคารพนอบน้อมอยู่ในจวนมู่หรงมาสิบกว่าปีแล้ว จะให้นางทำเรื่องที่ขัดต่อคำสั่งของมู่หรงเซิ่งออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ความประหม่าจึงเป็นสิ่งที่นางหลีกเลี่ยงไม่ได้

โชคดีที่ในเวลาปกติก็ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจแม่นมที่อยู่ข้างกายมู่หรงจิ่นคนนี้เช่นกัน อย่างไรเสียในจวนมู่หรงที่ช่างกว้างใหญ่เสียนี่กระไรแห่งนี้ คนที่ไม่ได้รับความชื่นชมที่สุดก็คือมู่หรงจิ่น! คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายนาง ก็เลยเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับความชื่นชมไปโดยปริยายเช่นกัน! และถึงแม้ว่าในเวลานี้แม่นมหลี่จะมีความผิดปกติอยู่บ้างก็ไม่มีใครสงสัยในตัวนางขึ้นมาเลยเช่นกัน

“ช้าก่อน!”

กระทั่งถึงประตูใหญ่ของจวนมู่หรง เมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะสามารถก้าวออกไปจากจวนมู่หรงได้แล้วนั่นเอง กลับถูกองครักษ์สกัดเอาไว้เสียแล้ว

“พี่ชายสองท่านนี้ ข้าเป็นแม่นมของคุณหนูใหญ่ เมื่อวานนายท่านส่งผ้าสองพับไปให้คุณหนูใหญ่ทำเสื้อผ้าแล้ว ข้าก็เลยเตรียมจะนำไปร้านตัดเสื้อน่ะ!”

ไม่ว่าอย่างไรแม่นมหลี่ก็เป็นผู้อาวุโสในจวน แม้ว่านางจะประหม่า แต่นางก็ไม่ได้แสดงข้อพิรุธใดๆออกมา

“สาวใช้ผู้นี้เป็นบ่าวของเรือนไหนรึ?”

คนที่องครักษ์หมายถึงแน่นอนว่าคือมู่หรงจิ่นที่เดินตามหลังแม่นมหลี่และกำลังถือผ้าสองพับไว้ในมือ

“นี่จะเป็นสาวใช้ที่ไหนได้เล่า นี่คือเสี่ยวหลิงจากเรือนจิ่นยู่ไง! นางเป็นหวัดเล็กน้อย ข้ากลัวว่านางจะแพร่เชื้อหวัดให้คุณหนูใหญ่ ก็เลยให้นางสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้น่ะ!”

แม่นมหลี่ยิ้มพร้อมกับอธิบายให้องครักษ์ฟัง

องครักษ์สังเกตมองมู่หรงจิ่นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ก็เลยปล่อยพวกนางไป

“โอ๊ย! ข้าน้อยกลัวตายอยู่แล้ว! หัวใจของข้าเนี่ยเต้นรัวราวกับกลอง จนแทบจะเต้นออกมาแล้ว!”

แม่นมหลี่พามู่หรงจิ่นเดินผ่านทางแยกหนึ่งมาแล้ว จึงหยุดฝีเท้าลงแล้วตบหน้าอกพร้อมกับเป่าปากด้วยความโล่งอก

เมื่อมู่หรงจิ่นเห็นท่าทางเอามือกุมหน้าอกเอาไว้ของแม่นมหลี่ในขณะนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

“สาขาย่อยของชิงเฟิงสวีไหลอยู่ห่างจากที่นี่สามช่วงตึกใช่ไหม?”

เมื่อมู่หรงจิ่นเห็นแม่นมหลี่ชะลอฝีเท้าลงแล้ว นางจึงมองไปสถานที่ที่อยู่อีกสามช่วงตึก ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดงานโคมไฟ

“ใช่เจ้าค่ะ! คุณหนูเอาผ้ามาให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ!”

แม่นมหลี่รีบรับผ้าที่อยู่ในมือของมู่หรงจิ่น แล้วเดินตามหลังมู่หรงจิ่นไป

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป มู่หรงจิ่นกับแม่นมหลี่ก็เดินทางมาถึงสาขาย่อยของชิงเฟิงสวีไหล

ชิงเฟิงสวีไหลเป็นโรงรับจำนำ ซึ่งในเมืองหลวงมีอยู่ทั้งหมดสองแห่ง แห่งแรกคือสำนักงานใหญ่ อยู่ใจกลางเมืองหลวง อีกแห่งหนึ่งก็คือสาขาย่อยที่อยู่ห่างจากจวนมู่หรงสี่ช่วงตึก

ชิงเฟิงสวีไหลคืออุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มากที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมทั้งหมดของเสิ่นหว่านชิง แล้วก็ยังเป็นอุตสาหกรรมเดียวที่มีสาขาย่อยอีกด้วย

มู่หรงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองเห็นป้ายคำขวัญรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่กำลังแขวนอยู่บนประตูที่มีกลิ่นอายของท่วงทำนองโบราณแผ่นหนึ่ง และมีตัวอักษรขนาดใหญ่สีทองเป็นประกายซึ่งเขียนว่า”ชิงเฟิงสวีไหล”สี่ตัวอยู่บนป้าย

ทันทีที่มู่หรงจิ่นก้าวเข้าสู่ชิงเฟิงสวีไหล ก็มีพนักงานของร้านมาซักถามมูลเหตุที่มู่หรงจิ่นมาที่นี่

พอแม่นมหลี่บอกว่าเป็นคนที่ตกลงกับเถ้าแก่อู๋เรียบร้อยแล้ว พนักงานจึงมองเห็นแม่นมหลี่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานี้แม่นมหลี่มาที่นี่หลายครั้งมาก และพนักงานก็รู้จักแม่นมหลี่แล้วเช่นกัน พอเห็นแม่นมหลี่เขาจึงเข้าไปรายงานทันที

ในระหว่างที่พนักงานกำลังรายงาน มู่หรงจิ่นก็ได้สังเกตมองรูปแบบและการวางแผนภายในร้านสาขาของชิงเฟิงสวีไหลอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ทางด้านซ้ายมีตู้ไม้จันทน์ที่สูงระดับเอวหนึ่งแถวล้อมรอบอยู่ คนที่กำลังยืนอยู่ด้านในคือพนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า ด้านหลังของพนักงานคือตู้ขนาดน้อยใหญ่มากมายหลายตู้

ทางด้านขวาคือห้องที่ใช้ม่านไข่มุกกั้นเอาไว้ ซึ่งพนักงานที่เพิ่งไปรายงานเมื่อสักครู่นี้ก็เข้าไปในห้องนั้นแล้ว

“คุณหนู?”

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีชายอายุประมาณสี่สิบห้าปีคนหนึ่ง ไว้เคราแพะ และกำลังสวมชุดฉูจูเซินอีสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งสีหน้าตอนที่เขาเห็นมู่หรงจิ่นนั้นยากที่จะเก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้

“เถ้าแก่อู๋”

มู่หรงจิ่นก้มศีรษะลงเล็กน้อย แล้วเรียกเถ้าแก่อู๋เพื่อเป็นการยืนยันต่อตนเอง

ภายในดวงตาของเถ้าแก่อู๋สั่นไหวด้วยความประหลาดใจและดีใจ เขาสาวเท้าพรวดพราดเข้าไปใกล้ๆมู่หรงจิ่น แล้วเอามือกุมหมัดแสดงความเคารพมู่หรงจิ่นไปหนึ่งครั้ง

“เถ้าแก่อู๋ไม่ต้องมากพิธี!”

มู่หรงจิ่นยื่นมือซ้ายออกไป แสดงเจตนาให้เถ้าแก่อู๋ทราบว่าไม่ต้องแสดงความเคารพแล้ว

พอพนักงานที่เพิ่งเข้าไปรายงานเห็นแม่นางน้อยที่สวมชุดสาวใช้คนนี้ เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นคุณหนูผู้ร่ำรวย! และประหลาดใจเสียจนสามารถยัดไข่ฟองหนึ่งเข้าไปในปากได้ทั้งฟองแล้ว!

แต่คุณหนูท่านนี้เป็นบุตรีของตระกูลที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลตระกูลใดกัน? นางสามารถทำให้เถ้าแก่อู๋ จะให้ความเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ได้อย่างไร?

“คุณหนู เชิญเข้ามาคุยกันด้านใน!”

เถ้าแก่อู๋ยื่นมือ ให้มู่หรงจิ่นเข้าไปในห้องที่อยู่หลังม่านไข่มุก

พอมู่หรงจิ่นเดินเข้าไปในห้องเล็กๆนั้น จึงพบว่าห้องเล็กๆนั้นเป็นเหมือนห้องของลูกค้าผู้มีเกียรติหรือห้องส่วนตัว ไม่เพียงแต่จะประดับประดาไปด้วยของตกแต่งเท่านั้น แม้กระทั่งผ้าปูโต๊ะน้ำชาและอาหารว่าง ล้วนเป็นของที่คัดสรรมาอย่างดีทั้งสิ้น

“คุณหนู! สิบหกปีแล้ว! ในที่สุดข้าน้อยก็ได้พบกับท่านสักครั้งแล้ว!”

เถ้าแก่อู๋ตื่นเต้นมาก ซึ่งเปลี่ยนไปจากท่าทางที่สุขุมเยือกเย็นในเวลาปกติของเขา ในขณะที่มองมู่หรงจิ่น เบ้าตาของเขาก็แดงก่ำขึ้นมา

“เถ้าแก่อู๋พูดเกินไปแล้ว สิบหกปีที่ผ่านมานี้ ลำบากเจ้าแล้ว!”

มู่หรงจิ่นโค้งคำนับให้เถ้าแก่อู๋หนึ่งครั้ง เพื่อขอบคุณสำหรับการทุ่มเททำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเขา

“คุณหนูทำอย่างนี้ไม่ได้นะ! นายท่านเสิ่นก็เป็นบิดามารดาผู้ให้ชีวิตใหม่ของข้าน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านเสิ่น ข้าน้อยคงอดตายอยู่ข้างถนนไปนานแล้ว! นายท่านเสิ่น เป็นคนพาข้าน้อยกลับไปที่จวนเสิ่น และสอนข้าน้อยคำนวณบัญชี ข้าน้อยจึงมีโอกาสได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมา! ได้ทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถทั้งหมดทำงานเพื่อตระกูลเสิ่น ช่างเป็นเกียรติของข้าน้อยยิ่งนัก!”

เถ้าแก่อู๋หลบเลี่ยงการโค้งคำนับนี้ของมู่หรงจิ่นด้วยความประหม่าเป็นอย่างยิ่ง

“ตระกูลเสิ่นรึ? เช่นนั้นเถ้าแก่อู๋จะถือสาไหมที่จะมาทำงานรับใช้ตระกูลมู่หรงนี้ของข้า?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร