นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 22

“คุณหนูอย่าพูดเช่นนั้นเลย คุณหนูคือเลือดเนื้อเชื้อไขของคุฯหนูหว่านชิง ในสายตาของข้าน้อย ท่านคือเจ้านายของตระกูลเสิ่นนะขอรับ!”

เมื่อเถ้าแก่อู๋ได้ยินมู่หรงจิ่นพูดเช่นนี้ เขาก็รีบลุกขึ้นมา ทำความเคารพต่อมู่หรงจิ่น

มู่หรงจิ่นไม่รีบร้อน ในขณะกำลังมองเถ้าแก่อู๋อย่างเฉยเมย พลังอำนาจและความน่าเกรงขามที่อยู่ภายในดวงตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

แม้แต่แม่นมหลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงจิ่นก็สามารถรู้สึกได้เช่นกัน แม้ว่านางจะมองไม่เห็นสายตาของมู่หรงจิ่น แต่ทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาหมดแล้ว

ในขณะที่แม่นมหลี่กำลังมองไปที่เถ้าแก่อู๋ที่ยังไม่ลุกขึ้น และมองไปที่มู่หรงจิ่นที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างโดดเด่นสักครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบล้วนแต่เบาบางลงไปมาก

“มีคำพูดประโยคนี้ของเถ้าแก่อู๋ ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว! ลุกขึ้นเถิด!”

มู่หรงจิ่นยิ้มอย่างสวยงาม และยกมือขึ้นเพื่อบอกให้เถ้าแก่อู๋ลุกขึ้นมา

ในเวลานี้นอกจากหน้าผากของเถ้าแก่อู๋จะปกคลุมไปด้วยเหงื่อบางๆหนึ่งชั้นแล้ว เขาก็คิดว่า คุณหนูท่านนี้ช่างแตกต่างจากในข่าวลือมาก! นางมีท่าทางขี้ขลาดและอ่อนแอตรงไหนกัน?

เถ้าแก่อู๋ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ แม้ว่าในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมานี้เขาจะไม่เคยเห็นมู่หรงจิ่นด้วยตาตนเองมาก่อน แต่ข้ากลับเคยได้ยินใครหลายคนพูดคุยกันว่ามู่หรงจิ่นอัปลักษณ์หาใดเปรียบ และบอกว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่หรงนั้นเป็นเพียง “เศษขยะ”!

แต่นับตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้จนถึงตอนนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของมู่หรงจิ่นสว่างสุกใสอยู่เสมอ ท่วงท่าเยื้องย่างกรีดกรายล้วนเป็นท่วงท่าของทุกคน และน้ำเสียงในการพูดคุยก็เฉยเมยเสมอต้นเสมอปลาย

แต่กลับเป็นตัวเขาเอง เพราะว่าเขาได้พบเจอมู่หรงจิ่นที่เขาอยากเจอมาตลอดสิบหกปีแล้ว เขาจึงตื่นเต้นจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่มู่หรงจิ่นได้จับจุดนี้เอาไว้อย่างหลักแหลม จึงได้การหยั่งเชิงและยืนยันระดับความซื่อสัตย์ภักดีของตัวเขาเอง

นี่คือ“คุณหนูใหญ่ผู้ไร้ประโยชน์”ที่อยู่ในคำล่ำลือตรงไหน! นี่ก็คือสาวน้อยที่ฉลาดเป็นกรดคนหนึ่งชัดๆ!

ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นข่าวที่คนพูดต่อๆกันหลายคนจนมีคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมด! เถ้าแก่อู๋ยิ้มเยาะข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ และสาบานว่าต่อไปนี้เขาจะไม่เชื่อข่าวลืออีกเด็ดขาด!

“คุณหนู สมุดบัญชีในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมาของชิงเฟิงสวีไหลก่อนหน้านี้ได้ถูกส่งไปให้ท่านตรวจสอบแล้ว นี่คือสมุดบันทึกผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในร้านในขณะนี้ เชิญท่านตรวจดูเถิด!”

เถ้าแก่อู๋รู้ว่ามู่หรงจิ่นกำลังจะมา เขาจึงเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว

เดิมทีเขายังคงกังวลใจว่าถ้าหากมู่หรงจิ่นเป็นเหมือนกับในข่าวลือ เช่นนั้นเขาก็คงทำได้เพียงอธิบายให้มู่หรงจิ่นฟังอย่างละเอียดทีละนิดละหน่อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องทำสิ่งนี้แล้ว!

“ดี.”

มู่หรงจิ่นรับสมุดบันทึกมา พลิกดูไปด้วย และฟังการบรรยายอย่างคร่าวๆจากเถ้าแก่อู๋ไปด้วย

“ปกติแล้วเวลาลูกค้ามาจำนำหรือไถ่ของกลับไป จะมีการบันทึกเอาไว้ทั้งหมด เราจะตรวจนับสิ่งของที่ลูกค้าไม่สามารถไถ่ถอนกลับไปได้เดือนละหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็จะบันทึกลงในสมุดบันทึกเล่มนี้ขอรับ”

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป มู่หรงจิ่นก็ปิดสมุดบันทึกเอาไว้

“สมุดบันทึกเป็นระเบียบชัดเจน มองปราดเดียวก็เข้าใจ คิดว่าเถ้าแก่อู๋จะต้องใช้ความคิดมากเลยทีเดียว!”

มู่หรงจิ่นวางสมุดบันทึกเอาไว้บนโต๊ะ แล้วพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังมองเถ้าแก่อู๋อยู่

“ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำอยู่แล้วขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋คิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงจิ่นจะสามารถมองเห็นร่องรอยของการทุ่มเททำงานของเขาจากสมุดบันทึกเล่มนี้ได้!

เดิมทีการซื้อขายในโรงรับจำนำนั้นซับซ้อนกว่า การซื้อขายทั่วไปมาก บางครั้งลูกค้าจะมาจำนำในวันนี้ แล้วก็มาไถ่คืนในวันพรุ่งนี้ พวกเขาไม่สามารถกำจัดสิ่งของที่นำมาจำนำเหล่านี้ได้โดยง่าย แต่ก็ไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งของเหล่านี้เอาไว้ตลอดไปได้เช่นกัน

ดังนั้นในตอนแรก ในสมุดบันทึกของชิงเฟิงสวีไหล จึงซับซ้อนและวุ่นวายมาก เพื่อที่จะสามารถหาวิธีที่ดีมาทำการบันทึกได้แล้ว ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้ เถ้าแก่อู๋จึงต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง เข้าไปมีส่วนร่วมในการซื้อขายทุกครั้ง และทดลองทำวิธีตรวจนับสิ่งของเดือนละครั้งจากในนั้นออกมาด้วย

“เพียงแต่ ข้าคิดว่าตรวจนับเดือนละครั้ง มันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกคนได้หรอก ลูกค้าของชิงเฟิงสวีไหลส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดา สิ่งที่พวกเขานำมาจำนำ ล้วนแต่เป็นสิ่งของล้ำค่าที่สุดในบ้านนะ”

มู่หรงจิ่นได้ยินเถ้าแก่อู๋พูดเมื่อสักครู่นี้ ว่ามีลูกค้าบางคนที่ยังอยากจะไถ่ของหลังจากที่ผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน ถ้าของไม่ถูกกำจัด พวกเขาก็จะให้ลูกค้าไถ่ถอนกลับไปได้ แล้วขีดฆ่ารายการนี้ในสมุดบันทึกทันที

นี่ทำให้นางนึกถึงวิธีการหนึ่งที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ให้ดียิ่งขึ้นขึ้นมาได้

“ใช่ แต่ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆชาวบ้านจะไม่มาที่โรงรับจำนำหรอก ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจึงไม่มีความสามารถในการไถ่คืนไปในช่วงเวลาอันสั้นได้ แต่เราก็ไม่สามารถเก็บของเหล่านี้เอาไว้ในคลังได้ตลอดเวลาเช่นกัน ทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ได้กำไรเท่านั้น แต่อีกไม่นานก็จะไม่มีสถานที่ที่จะสามารถเก็บของเอาไว้ได้แล้วนะ”

เถ้าแก่อู๋กำลังคิดถึงคำพูดของมู่หรงจิ่น ก่อนหน้านี้เขาก็เคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาคิดวิธีที่จะได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายไม่ออกจริงๆ

“เราสามารถจัดตั้งระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลาขึ้นมาได้ จำนวนเงินที่จำนำและจำนวนเงินที่ไถ่ถอนจะแตกต่างกันตามเวลาที่กำหนดที่แตกต่างกันออกไป หากเลยเวลาที่กำหนดนี้แล้วยังไม่มาไถ่ของคืน พวกเราก็มีสิทธิ์ที่จะกำจัดสิ่งของที่นำมาจำนำ เถ้าแก่อู๋คิดว่าเป็นอย่างไร?”

มู่หรงจิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลูกค้ามีความต้องการที่แตกต่างกัน แต่ถ้าชิงเฟิงสวีไหลสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่โรงรับจำนำอื่นไม่สามารถตอบสนองได้ นี่ก็คือโอกาสทางธุรกิจ

“ความหมายของคุณหนูคือ จำนวนเงินที่จำนำควรตั้งให้สูงขึ้นหน่อย จำนวนเงินที่ไถ่ถอนควรตั้งให้ต่ำลงหน่อยในเวลาอันสั้น และจะต้องใช้เวลานานจึงจะสามารถไถ่ของคืนได้ จำนวนเงินที่จำนำควรตั้งให้ต่ำลงหน่อย ส่วนจำนวนเงินที่ไถ่ถอนควรตั้งให้สูงขึ้นหน่อยอย่างนั้นหรือ? ว่าแต่ลูกค้าจะยอมรับมาตรฐานที่แตกต่างกันได้หรือขอรับ?”

ในขณะนี้สมองของเถ้าแก่อู๋กำลังหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยคิดถึงระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลาเลย ฟังดูเหมือนว่าจะสามารถดำเนินการได้ แต่ก็ยังมีจุดที่จะต้องพิจารณาอยู่เช่นกัน

มู่หรงจิ่นคิดไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่อู๋จะเข้าใจในสิ่งที่ตนเองพูดอย่างรวดเร็วขนาดนี้ อย่างไรเสีย คนที่ทำธุรกิจก็เป็นคนที่ฉลาดทันคนทั้งนั้น

“เราสามารถลองคิดว่าตัวเรากำลังอยู่ ณ จุดๆนั้นได้ หากลูกค้าต้องการใช้เงินและต้องการจำนำสิ่งของอย่างเร่งด่วนล่ะ สมมติว่าเดิมทีจำนวนเงินที่จำนำของปิ่นเงินหนึ่งชิ้นคือหนึ่งตำลึง และจำนวนเงินที่ไถ่ถอนคือหนึ่งตำลึงหนึ่งเหรียญ หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือนก็จะไม่สามารถไถ่ถอนคืนได้อีกแล้ว

หากตอนนี้เราใช้ระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลา แล้วลูกค้าสัญญาว่าจะมาไถ่ถอนภายในหนึ่งเดือน เช่นนั้นจำนวนเงินที่จำนำจะเป็นหนึ่งตำลึงสองเหรียญ และจำนวนเงินที่ไถ่ถอนจะเป็นหนึ่งตำลึงสามเหรียญ

แต่ถ้าลูกค้าไม่สามารถไถ่ถอนได้ภายในหนึ่งเดือน แต่ได้สัญญาไว้ว่าจะมาไถ่ถอนภายในสามเดือน เช่นนั้นเราสามารถกำหนดจำนวนเงินที่จำนำให้เป็นหนึ่งตำลึงหนึ่งเหรียญและจำนวนเงินที่ไถ่ถอนเป็นหนึ่งตำลึงห้าเหรียญได้ เมื่อเปรียบเทียบตามนี้แล้ว หากลูกค้าไม่สามารถไถ่ถอนคืนภายในเวลาที่สัญญาเอาไว้ได้ เช่นนั้นเราก็สามารถจัดการปิ่นปักผมชิ้นนี้ได้”

มู่หรงจิ่นยกตัวอย่างง่ายๆขึ้นมาหนึ่งตัวอย่าง ซึ่งมันช่วยปัดเป่าความกังวลของเถ้าแก่อู๋ให้สลายไปได้ทั้งหมดแล้ว!

“หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลานี้ก็จะสามารถดำเนินการได้! เนื่องจากสถานการณ์ของลูกค้าแต่ละรายแตกต่างกัน ลูกค้าที่ต้องการไถ่คืนจะต้องยอมรับจำนวนเงินจำนำที่ต่ำกว่าได้อย่างแน่นอนเพราะพวกเขาอยากได้ของคืนมาอีกครั้ง ส่วนลูกค้าที่ไม่ต้องการไถ่ของคืนก็ยังสามารถได้รับเงินด่วนที่มากกว่าได้เช่นกัน”

เถ้าแก่อู๋คิดตามคำพูดของมู่หรงจิ่นอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรมันก็ชอบด้วยเหตุผลมากกว่าวิธีดำเนินธุรกิจในตอนนี้ยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการถกเถียงกันบางอย่างขึ้นแล้ว การทำเช่นนี้กลับยังสามารถเพิ่มผลกำไรได้อีกด้วย!

“ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือว่าเรา ล้วนสามารถลดความสูญเสียและความเสี่ยงให้ลดน้อยที่สุดได้ คุณหนูวางกลยุทธ์ดียิ่งนัก!”

สำหรับเถ้าแก่อู๋แล้วคำพูดของมู่หรงจิ่นก็คือ พูดคำเดียวก็ปลุกคนที่อยู่ในภวังค์ให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาได้! เถ้าแก่อู๋คิดว่าเสียงที่ตัวเองพูดในขณะนี้ล้วนแต่ไม่เป็นความจริงอยู่เล็กน้อย ราวกับกำลังฝันอยู่

ปัญหานี้ที่กวนใจเขามาสิบหกปีนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเด็กสาวอายุสิบหกปีผู้นี้แก้ไขได้แล้วต่อหน้าต่อตาเขาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของนาง!

“เถ้าแก่อู๋ชมเกินไปแล้ว ข้าแค่แสดงความคิดเห็นที่ต่ำต้อยของตนเองออกมาเท่านั้น เถ้าแก่อู๋สามารถชั่งน้ำหนักผลประโยชน์ของชิงเฟิงสวีไหลกับลูกค้าได้ในทันที ข้าละอายใจยิ่งนัก!”

จุดประสงค์ที่มู่หรงจิ่นมาที่ชิงเฟิงสวีไหลในวันนี้ไม่ใช่เพื่อแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ แต่เพื่อเสริมสร้างหัวใจของผู้คนให้แข็งแรงขึ้นต่างหาก ต่อหน้าเถ้าแก่อู๋ผู้มีประสบการณ์มากมายในการทำธุรกิจ การรักษาความอ่อนน้อมถ่อมตนและการยอมรับของตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก มิฉะนั้นจะกระตุ้นความระแวงสงสัยของเถ้าแก่อู๋กับแม่นมหลี่ขึ้นมาอย่างง่ายดายได้

“คุณหนูชมเกินไปแล้ว! เช่นนั้นข้าน้อยก็จะเริ่มเตรียมดำเนินระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลาเลย”

เถ้าแก่อู๋ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าระบบไถ่ถอนแบบกำหนดเวลานี้สามารถดำเนินการได้

“อืม แต่พอดำเนินการขึ้นมาแล้วเกรงว่ายังจะสามารถพบปัญหาบางอย่างได้อีก ตัวอย่างเช่นคำสัญญาของลูกค้า ถ้าลูกค้าเพียงแค่ทำสัญญาด้วยวาจา เกรงว่าถึงเวลานั้นจะมีตัวแปรมากเกินไป

แล้วก็ยังมีขอบเขตของเวลาด้วย เส้นตายที่สั้นที่สุดและยาวที่สุดคือเท่าไหร่? ถ้ากำหนดระยะเวลาให้สั้นรายการจำนวนเงินก็จะเยอะมาก ถ้ากำหนดระยะเวลาให้นานขึ้น ลูกค้าอาจจะเปลี่ยนความคิดในช่วงเวลานี้ และไม่อยากไถ่ของคืนแล้วก็ได้ เวลาผ่านไปนานเช่นนี้ สิ่งของอาจสูญเสียมูลค่าที่มันมีอยู่แต่เดิมได้ อีกทั้งมันก็กินพื้นที่ด้วย”

มู่หรงจิ่นคิดลึกเข้าไปอีกว่า ยังมีจุดที่จะต้องให้ความสนใจอยู่บางจุด ทั้งนี้ถึงเวลานั้นจะได้ไม่มีภัยพิบัติที่แอบแฝงอยู่มากมายในระหว่างการดำเนินการ

“เช่นนั้นความหมายของคุณหนูคือ?”

เถ้าแก่อู๋พยักหน้าไปมา สิ่งเหล่านี้ที่มู่หรงจิ่นพูดนั้น เป็นปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขจริงๆ

“เราสามารถทำสัญญาการซื้อขายกับลูกค้าตอนที่ลูกค้ามาจำนำได้ โดยเขียนจำนวนและกำหนดเวลาให้ชัดเจน แล้วทำสำเนาขึ้นมาสองฉบับ หลังจากเขียนเสร็จลูกค้าจะต้องลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ด้วย จากนั้นให้เก็บรักษาเอาไว้คนละหนึ่งฉบับ เมื่อลูกค้าต้องการจะไถ่ของคืน เขาจะต้องนำสัญญาฉบับนี้มาด้วย เมื่อเราเห็นสัญญาเท่านั้นจึงจะสามารถอนุญาตให้ลูกค้าไถ่ของกลับไปได้

ขอบเขตของเวลาสั้นที่สุดไม่ควรต่ำกว่าหนึ่งเดือน และนานที่สุดไม่ควรเกินหนึ่งปี สามเดือนถือเป็นเส้นตายหนึ่ง เถ้าแก่อู๋คิดเห็นว่าอย่างไร?”

มู่หรงจิ่นค้ำมือขวาเอาไว้บนโต๊ะ แล้วเท้าคางเบาๆ และพูดด้วยท่าทางที่เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่

เถ้าแก่อู๋เฝ้ามองมู่หรงจิ่นที่อยู่ต่อหน้าอย่างเพลิดเพลิน แม้ว่านางจะสวมชุดสาวใช้อยู่ แต่ก็ปิดบังแสงที่ส่องประกายออกมาจากทุกการเคลื่อนไหวที่อยู่บนร่างกายของนางเอาไว้ไม่ได้

“อืม?”

เมื่อมู่หรงจิ่นเห็นว่าเถ้าแก่อู๋ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา นางจึงหันหน้าไปมองเถ้าแก่อู๋

รูม่านตาของเถ้าแก่อู๋หดตัวลง ดวงตาดอกท้อคู่นั้น ราวกับว่ากำลังโต้สายลมในฤดูใบไม้ผลิอยู่ในขณะนี้ มีเสน่ห์น่าหลงไหลเล็กน้อย ทำให้ใครๆก็ต้องนึกถึงเทพธิดาที่ถูกดอกไม้นับพันรายล้อมขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะผ้าคลุมหน้านั้นล่ะก็......

“โอ้โห! คุณหนูช่างคิดได้ระเอียดรอบคอบยิ่งนัก วิธีนี้ใช้ได้เลยขอรับ!”

เถ้าแก่อู๋ทอดสายตาออกไปทางอื่น พอกลับมามีสติอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าการกระทำของตัวเองเมื่อสักครู่นี้ช่างไร้มารยาทเสียจริงๆ เพียงแต่......

“คุณหนู ข้าน้อยมีคำถามอยู่หนึ่งข้อ ไม่ทราบว่าควรจะถามดีหรือไม่!”

เถ้าแก่อู๋ก้มศีรษะลงและยกสายตาขึ้นไปมองมู่หรงจิ่นสักครู่หนึ่ง

“เถ้าแก่อู๋จะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ!”

มู่หรงจิ่นสบตากับเถ้าแก่อู๋อย่างสง่าผาเผย

“ใบหน้าของท่าน......”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร